อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 448 สงสัยเขา
ตอนที่ 448 สงสัยเขา
ตอนที่ 448 สงสัยเขา
ม่านพระเนตรของฮ่องเต้หดเล็กทันใด อาฝูคือคนของเจ้าเจ็ด?
หมายความว่าอย่างไรกัน? เจ้าเจ็ดสั่งให้ไปทำร้ายคนแล้วมาใส่ร้ายซิวเอ๋อร์ เขาคิดจะจัดการซิวเอ๋อร์กระนั้นรึ?
อาฝูถึงกับหันไปถลึงตาใส่เย่โฉวที่อยู่ข้าง ๆ ตวาดด้วยความโกรธขึ้ง “หุบปาก ใครใช้ให้เจ้าแส่ไม่เข้าเรื่อง?”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่ายิ่งปกปิดก็ยิ่งเปิดเผย เหมือนกับภาษิตที่ว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง [1]’ ฮ่องเต้สีพระพักตร์เปลี่ยนไปทันที ตบฝ่าพระหัตถ์ลงบนพนักวางแขนของเก้าอี้มังกร ตวาดเสียงดังว่า “เชียนชิว ไปเรียกเจ้าเจ็ดมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวมีเหงื่อเย็นซึมออกมาจากหน้าผาก ภายในใจแอบรำพึงว่า ‘ซวยแล้ว’ หนึ่งเสียง ยอบกายถอยออกไป
เย่ซิวตู๋ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองอาฝูที่ทำท่าทางโกรธเคืองโดยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กระตุกมุมปากเล็กน้อย
ฉีหานเว่ยหรี่ตาลง เหลือบมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปที่อาฝูและเย่โฉวอีกครั้ง
เย่โฉวผู้นี้…เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ดูตื่นตระหนก แต่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้กลับส่งเสียงราวกับไม่ได้หวาดกลัวเสียอย่างนั้น ทั้งยังเปิดเผยตัวตนของอาฝู ดูจากพฤติกรรมที่เขาปล่อยอาฝูไป ระหว่างเขาและอาฝูควรทำตัวมีลับลมคมในถึงจะถูก ไม่มีทางที่จะหักหลังอีกฝ่ายในเวลานี้
พูดเช่นนี้…
ฉีหานเว่ยยิ้ม น่าสนใจ…อาฝูผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนของใครกันแน่?
เพียงไม่นานองค์ชายเจ็ดเย่ฮ่าวถิงก็เข้ามาด้านในท้องพระโรง นอกจากนี้ยังมีเหมิงกุ้ยเฟยที่เดิมทีนั่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่ภายในห้องส่วนตัวตามเขาเข้ามาด้วย บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อครู่เดินผ่านฝนมาก ตอนที่ทั้งคู่เดินเข้ามาด้านในท้องพระโรง บนตัวจึงมีความชื้น กางเกงก็เปียกเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ทั้งคู่ก้าวเท้าเข้ามาค้อมกายถวายคำนับฮ่องเต้ ก่อนเงยหน้ากวาดตาสำรวจสถานการณ์ภายในท้องพระโรง
ตอนที่เห็นเย่ซิวตู๋ มุมปากของเหมิงกุ้ยเฟยถึงกับขึงตึง ก่อนจะรีบเบือนสายตาไปทางอื่นในทันที
ถึงกระนั้น ตอนที่สายตาของพวกเขาทั้งคู่เหลือบไปเห็นอาฝูที่ถูกมัดตัว คิ้วพลันขมวดมุ่นพร้อมกัน
สีหน้าของเหมิงกุ้ยเฟยและเย่ฮ่าวถิงไม่รอดพ้นจากสายพระเนตรของฮ่องเต้ ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย ตรัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเจ็ด เจ้ารู้จักคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นนั่นหรือไม่?”
“กราบทูลเสด็จพ่อ คนคนนี้มีนามว่าอาฝู เป็นคนภายในตำหนักของลูกเมื่อหลายปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เย่ฮ่าวถิงกลับไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ใจเย็นลงเล็กน้อยขณะตอบด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด
“อ๋อ?” สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดสำรวจมาที่ตัวของเขา “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาฆ่าคน ทั้งยังโยนความผิดทั้งหมดไปให้พี่ห้าของเจ้า?”
เย่ฮ่าวถิงชะงัก เม้มปากคุกเข่าลงบนพื้น พูดอย่างจริงใจว่า “เสด็จพ่อ อาฝูพ้นจากการเป็นทาสเมื่อหลายปีก่อน เขาออกไปจากตำหนักของลูกแล้ว ชีวิตหลังจากนั้นของเขาเป็นอย่างไร ลูกไม่เคยถามไถ่ถึง ในเมื่อเขาฆ่าคน เช่นนั้นก็เป็นการก่ออาชญากรรม ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตถือเป็นหลักการของฟ้าดินที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เสด็จพ่อจัดการเขาตามกฎของอาณาจักรเฟิงชางก็สิ้นเรื่องแล้ว ลูกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ไม่มีทางขอร้องแทนฆาตกรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง กวาดสำรวจเย่ฮ่าวถิงอีกครู่หนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงตรัสอย่างเกียจคร้านว่า “แต่อาฝูผู้นี้…บอกว่าได้รับคำสั่งมาจากเจ้า”
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้ม อาฝูไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้ นี่ฮ่องเต้คงคิดจะใส่ไฟให้เจ้าเจ็ดกระนั้นรึ?
องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้วมุ่น สายตาจ้องอาฝูอยู่ครู่หนึ่ง หันหลังกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและความถ่อมตน “เสด็จพ่อ หากอาฝูพูดว่าได้รับคำสั่งมาจากลูก เช่นนั้นก็เป็นเพราะภายในใจยังมีความคับแค้นใจต่อลูก จึงใช้โอกาสนี้เพื่อปรักปรำลูกพ่ะย่ะค่ะ”
“ความคับแค้นใจ?” ฮ่องเต้เกิดความสงสัย
เหมิงกุ้ยเฟยถลึงตาใส่อาฝูด้วยความดุดันปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาด้านล่างของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เมื่อหลายปีก่อนอาฝูเคยชอบพอกับสตรีนางหนึ่ง แต่สตรีนางนั้นมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนและทำเรื่องแปลก ๆ ทั้งยังถูกฮ่าวถิงจับได้คาหนังคาเขาว่านางลักขโมย หม่อมฉันจึงตัดสินด้วยการมอบความตายให้แก่สตรีนางนั้น อาฝูแค้นเคืองเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่ถึงอย่างไรอาฝูก็เป็นคนในตำหนัก ทั้งยังดูแลฮ่าวถิงมาหลายปี หม่อมฉันและฮ่าวถิงต่างรู้สึกละอายใจต่อเขา จึงปลดความเป็นทาสให้และปล่อยให้เขาเป็นสามัญชนธรรมดา”
ครั้นกล่าวจบ นางก็ลอบถอนหายใจต่อหน้าอาฝู “เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้อาฝูสบายใจขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังไม่ปล่อยวางเรื่องในตอนนั้น ฮ่าวถิงเป็นน้องชายแท้ ๆ ของซิวเอ๋อร์ พวกเขาทั้งสองต่างก็รักใคร่กลมเกลียวมาโดยตลอด ฮ่าวถิงจะทำร้ายซิวเอ๋อร์ได้อย่างไรกันเพคะ? ทำเช่นนี้มิเท่ากับทำให้หม่อมฉันปวดใจและลำบากใจหรอกหรือ? หากอาฝูบอกว่าฮ่าวถิงเป็นคนสั่ง เกรงว่าคงคิดอยากยุแยงให้พวกเขาสองพี่น้องแตกคอกัน เพื่อแก้แค้นหม่อมฉันเพคะ”
คำพูดนี้มีเหตุผลยิ่งนัก แม้เหมิงกุ้ยเฟยจะแค่คาดเดา แต่กลับไม่ต่างจากความเป็นจริงเลย
นางดูนิ่งสงบมาก ต่อให้จะถูกฮ่องเต้สงสัย ทว่ากลับยังพูดอย่างชัดเจนและอธิบายได้เป็นอย่างดี
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย คิดว่าสิ่งที่เหมิงกุ้ยเฟยพูดช่างสมเหตุสมผล
ทว่า ราชวงศ์ไม่เคยพูดถึงเรื่องพี่น้องต้องเคารพรักซึ่งกันและกัน อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างซิวเอ๋อร์และฮ่าวถิง…พระองค์เองก็รู้แจ้งแจ่มชัด หากพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างซิวเอ๋อร์และเย่ฮ่าวหรานค่อนข้างสนิทสนมกันก็ว่าไปอย่าง
ไม่ว่าอย่างไร การกระทำของอาฝูเมื่อครู่ รวมถึงพฤติกรรมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดเพื่ออธิบายแก้ต่างให้ตนเองในเวลานี้ กลับยิ่งดูคล้ายกับว่าเป็นเช่นนั้น ภายในพระทัยของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ต้องเกิดความสงสัย
เรื่องนี้ เย่โฉวรู้ดี อาฝูรู้ดี ดังนั้นบางครั้งการเงียบ บางทีอาจเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขามากกว่า
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ ๆ อาฝูก็หัวเราะออกมาเบา ๆ สายตาคู่นั้นที่จ้องมองเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดเต็มไปด้วยอารมณ์และความเศร้า มุมปากขยับวูบไหว แต่ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร ทว่าฮ่องเต้กลับขมวดพระขนงทอดสายพระเนตรมองอย่างชัดเจน คำพูดไร้เสียงนั้น เป็นการบอกลาอย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่าอาฝูกำลังพูดว่า ‘นายท่าน บ่าวมิอาจปรนนิบัติรับใช้พวกท่านได้อีกแล้ว รักษาตัวให้ดี แล้วพบกันใหม่ในชาติหน้า’
ฮ่องเต้เพิ่งเข้าพระทัยความหมายของอาฝู พระองค์ถึงกับตกพระทัย ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ อาฝูก็ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าใส่เสาที่อยู่ข้าง ๆ
เขาพุ่งกระแทกอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าไม่ยี่หระต่อความตาย และไม่คิดจะเหลือชีวิตไว้แม้แต่น้อย
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย ขยับนิ้วมือ ทว่ากลับไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยชีวิตอีกฝ่าย เผิงอิงกลับคิดจะเข้าไปห้าม ถึงกระนั้นอาฝูกลับกะเวลาได้เหมาะเจาะยิ่งนัก ทั้งยังคำนวณทิศทางไว้อย่างแม่นยำ จึงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ลงมือ
อาฝูไหลตัวลงมาตามเสาอย่างช้า ๆ โลหิตสีแดงไหลทะลักออกมาจากหน้าผาก
ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมีแสงบางเบา จ้องมองไปที่เย่ฮ่าวถิง สายตาแอบแฝงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย ปลายนิ้วพระหัตถ์กำเข้าหากัน
เย่ฮ่าวถิงถึงกับตกใจ รีบก้าวเท้าเข้าไปคว้าคอเสื้อของอาฝู “ทำอะไรของเจ้า? ลุกขึ้นมา พูดให้มันชัดเจน สรุปแล้วใครเป็นคนสั่งเจ้าให้มาใส่ร้ายข้า ใส่ร้ายพี่ห้า ลุกขึ้นมานะอาฝู”
อาฝูหอบหายใจอย่างหนัก ทว่าเพียงไม่นานลมหายใจก็ค่อย ๆ แผ่วลง ก่อนจะสิ้นลมในที่สุด
เหมิงกุ้ยเฟยจ้องมองอาฝูที่กระแทกเสาจนตายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น จนเล็บจิกลึกเข้ากลางฝ่ามือ
ฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์ ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “พอแล้ว เจ้าเจ็ด คนตายไปแล้ว คนตายมิอาจให้การได้ และไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน เจ้าเรียกไปก็เปล่าประโยชน์”
มือของเย่ฮ่าวถิงที่จับอาฝูถึงกับแข็งทื่อ เงยหน้าสบตาเหมิงกุ้ยเฟยอย่างรวดเร็ว
หมาย…หมายความว่าอย่างไร? นี่ฝ่าบาทกำลัง…สงสัยเขางั้นรึ?
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
สารจากผู้แปล
กลับกลายเป็นว่ายิ่งสงสัยหนักเลย ว่าก่อนหน้านั้นที่อาฝูอยู่ในตำหนักองค์ชายเจ็ดโดนนังกุ้ยเฟยสั่งให้ไปทำอะไรบ้าง
ไหหม่า(海馬)