อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 450 ข้าอยากไปเป็นแขก
ตอนที่ 450 ข้าอยากไปเป็นแขก
ตอนที่ 450 ข้าอยากไปเป็นแขก
เย่โฉวออกไปแล้ว ฝนด้านนอกท้องพระโรงที่เดิมทีตกลงมาอย่างหนักก็ค่อย ๆ หยุดลงแล้ว
ฮ่องเต้ลอบถอนพระทัย สายพระเนตรทอดมองพระโอรสทั้งสองสลับกัน โบกพระหัตถ์ตรัสว่า “ในเมื่อความจริงถูกเปิดเผยแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เย่ซิวตู๋และเย่ฮ่าวถิงกราบทูลลาเดินออกจากท้องพระโรง
ฉีหานเทียนเห็นเย่ซิวตู๋เดินออกไปแล้ว จึงยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของฉีหานเว่ย กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ข้าอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว”
เดิมทีฉีหานเว่ยอยากจะช่วยระบายความโกรธให้ฉีหานเทียน รวมถึงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของอวี้ชิงลั่วจึงเข้ามาเป็นพยานบุคคลให้เย่ซิวตู๋ก็เท่านั้น ตอนนี้อาฝูตายไปแล้ว เจ้าสิบสามก็ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงอันใด ย่อมไม่มีเหตุผลให้อยู่ที่นี่ต่อไป
เขาจึงหันไปกราบทูลลาฮ่องเต้ ฮ่องเต้ที่เดิมทีก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว พยักพระพักตร์บอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนจะสั่งให้เหมียวกงกงนำยาบำรุงร่างกายส่งไปที่เรือนรับรอง เรื่องนี้ถือเป็นอันคลี่คลาย
ท้องพระโรงที่เดิมทียังครึกครื้นกลายเป็นเงียบสงัดจนน่ากลัวภายในพริบตาเดียว เหมิงกุ้ยเฟยเม้มริมฝีปาก เดินเข้ามาข้าง ๆ พระวรกายของฮ่องเต้ด้วยท่วงท่าสง่างาม ยกมือขึ้นมานวดบ่าให้พระองค์
“ฝ่าบาท เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ หลายวันมานี้ซิวเอ๋อร์และฮ่าวถิงทำให้ฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยอยู่เสมอ”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเบา ๆ ซิวเอ๋อร์และฮ่าวถิง? หลายวันมานี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของซิวเอ๋อร์ที่วุ่นวายจนเอิกเกริก ความหมายของเหมิงกุ้ยเฟยคือกำลังบอกพระองค์ว่า นับตั้งแต่ซิวเอ๋อร์กลับมาก็ชอบนำปัญหามาให้พระองค์กระนั้นรึ?
ฮ่องเต้ที่เอนเอียงไปทางเย่ซิวตู๋มากกว่าย่อมรู้สึกไม่พอพระทัย กอปรกับเรื่องในวันนี้ทำให้พระองค์ยังไม่คลายความสงสัย เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงทำให้พระองค์คิดมากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ สายพระเนตรเคร่งขรึมลง ปัดมือของเหมิงกุ้ยเฟยออกพร้อมตรัสเสียงเรียบว่า “กุ้ยเฟย หลังจากนี้ปฏิบัติกับซิวเอ๋อร์ให้ดีหน่อย เพราะเขาเองก็เป็นเด็กดี”
เหมิงกุ้ยเฟยตกใจ กัดริมฝีปากเบา ๆ สายตาแอบแฝงด้วยความน้อยใจ “ฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันดูแลซิวเอ๋อร์ไม่มากพอหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ถึงกับตะลึงเพราะสายตาของนางที่มองมา และทำให้พระองค์พระทัยอ่อนอีกครั้ง เหมิงกุ้ยเฟยเป็นสตรีผู้มีความงามอันน่าทึ่ง ทุกครั้งที่นางเผยสีหน้าเช่นนี้ ฮ่องเต้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
พระองค์ลอบถอนพระทัย ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า “เราไม่ได้หมายความเช่นนี้ เพียงแต่ถึงอย่างไรซิวเอ๋อร์ก็ออกไปอยู่ข้างนอกไม่เคยกลับมาที่นี่เป็นเวลานานถึงสี่ปี เกรงว่าอาจห่างเหินจากกุ้ยเฟย เอาล่ะ เจ้าเองก็อย่าคิดมากเลย เราขออยู่คนเดียวสักพัก เจ้ากลับวังไปก่อนเถิด”
เหมิงกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากเบา ๆ อีกครั้ง ทว่ากลับไม่ได้คิดจะรบกวนต่อไป นางถอนสายบัวเล็กน้อย หลุบตาลงและเดินออกไป
ทว่าตอนที่นางหมุนกาย สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมลงอย่างมาก
คำพูดประโยคนั้นเมื่อครู่นี้ สามารถหยั่งเชิงความคิดของฮ่องเต้ได้แล้ว พระองค์สงสัยในตัวนางและฮ่าวถิงจริง ๆ บัดซบ เหตุใดพระองค์ถึงได้ลำเอียงไปทางเย่ซิวตู๋ขนาดนี้?
เหมิงกุ้ยเฟยสาวเท้ายาวขึ้น ทอดมองไปยังเย่ฮ่าวถิงที่ยืนรอนางอยู่ตรงทางเดิน
ครั้นเห็นนางเดินเข้ามา เย่ฮ่าวถิงรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าสองสามก้าว “หมู่เฟย”
เหมิงกุ้ยเฟยพยักหน้า ก้าวเท้าเดินหน้าต่อ จนกระทั่งพวกเขาเดินมายังที่ที่ไม่มีคน จึงชะลอฝีเท้าลง
“หมู่เฟย เรื่องในวันนี้…”
“เกรงว่าคงมีคนคิดจะทำให้พวกเจ้าสองพี่น้องขัดแย้งกัน”
“ใช่ อาฝูแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการใส่ร้ายข้ากับหมู่เฟย เขาจงใจทำให้เสด็จพ่อสงสัยในตัวพวกเรา หมู่เฟย เสด็จพ่อเกิดความแคลงใจขึ้นมาแล้ว”
เหมิงกุ้ยเฟยยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ดูเหมือนว่าคงมีคนคิดจะลงมือเพราะทนรอไม่ไหวแล้ว คราวก่อนเคอกงกงใส่ยาพิษลงไปในอาหารของเย่หลานเฉิง กลับโยนความมาที่เรา ฝ่าบาทก็เกิดความสงสัยแล้ว เรารู้จักนิสัยของฝ่าบาทเป็นอย่างดี หลายวันมานี้ก็พยายามคลายความสงสัยของพระองค์อย่างเต็มที่ คิดไม่ถึงเลยว่าความสงสัยของพระองค์เพิ่งมลายหายไป ก็มีอาฝูโผล่ออกมาอีกคน เหอะ มีคนทนรอไม่ไหวแล้วจริง ๆ”
“หมู่เฟยกำลังสงสัยว่า คนที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเคอกงกงคราวก่อนเป็นคนเดียวกับที่สั่งอาฝูในวันนี้? หมู่เฟยมีรายชื่ออยู่ในใจแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เย่ฮ่าวถิงถึงกับหยุดก้าวเท้าเดินเพราะทนไม่ไหว สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้นด้วย
เหมิงกุ้ยเฟยแสดงสีหน้าเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ “มีแค่ไม่กี่คนหรอก แต่ถ้าจะให้เลือกออกมาจากรายชื่อ คงเป็นเรื่องยากจริง ๆ อีกอย่าง ต่อให้คิดจะจัดการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั่น ก็มิใช่พวกเราที่จะออกไป”
“หมู่เฟยหมายความว่า…”
“พวกเขายืมมีดเพื่อฆ่าคน ไยเราจะทำไม่ได้?” เหมิงกุ้ยเฟยดวงตาเป็นประกาย เท้าที่ก้าวเดินไปด้านหน้าหยุดลง มองไปยังคนเพียงไม่กี่คนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล
เย่ฮ่าวถิงมองไปตามสายตาของนาง คิ้วถึงกับขมวดมุ่น “หมู่เฟยมีแผนในใจแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อย่าบอกนะว่า…คิดจะยืมมือพี่ห้า?
เย่ฮ่าวถิงจ้องมองคนเหล่านั้นที่กำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ภายในใจแอบเกิดความรู้สึกอึดอัด ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพี่ห้าละเอียดอ่อนและแปลกมาก ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เขาและเย่ซิวตู๋ไม่เคยปะทะกันซึ่ง ๆ หน้ามาก่อน
พี่ห้าก็ไม่เคยคิดจะเล่นงานเขา ตอนที่เขายังเด็กก็ให้ความเคารพพี่ห้า เขาอิจฉาเย่ซิวตู๋เพราะอีกฝ่ายได้รับความรักความห่วงใยที่ไม่เหมือนใครจากเสด็จพ่อ เขาอิจฉาเย่ซิวตู๋ที่ทั้งเก่งและฉลาด และอิจฉาที่บนตัวของเขามีปานรูปดอกไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเหมิง
อันที่จริง เขาเป็นผู้ตามของพี่ห้ามาโดยตลอด
ทว่า ทั้งหมดนี้กลับไม่ได้รับอนุญาตจากหมู่เฟย หมู่เฟยสอนเขาตั้งแต่ยังเด็ก บอกว่าหลังจากนี้พี่ห้าคือคู่ต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดของเขา ตำแหน่งฮ่องเต้หลังจากนี้เป็นของเขา พี่ห้าคือตัวอันตราย หากไม่กำจัดทิ้ง เขาจะไม่มีวันได้โดดเด่น
เย่ฮ่าวถิงมีความกระตือรือร้นต่อตำแหน่งฮ่องเต้ไม่มาก เขาไม่เข้าใจเลยทั้ง ๆ ที่เป็นลูกชายของหมู่เฟยเหมือนกัน เหตุใดหมู่เฟยถึงได้ทอดทิ้งเย่ซิวตู๋ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ทั้งยังมีความสามารถที่จะสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ได้ แต่กลับมาปลูกฝังเขา ทั้งยังคอยกำจัดอุปสรรคขวางทางที่อยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่นึกเสียดายสิ่งใด แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นลูกชายแท้ ๆ ของหมู่เฟย
เขาไม่เข้าใจ ทั้งยังเคยสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่ห้าและหมู่เฟย ทว่าความจริงก็คือความจริง พี่ห้าเป็นลูกชายของหมู่เฟย มิอาจเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนเขา ภายใต้การอบรมสั่งสอนและชี้นำของเหมิงกุ้ยเฟยมาโดยตลอด ทำให้ความเคารพและความอิจฉาที่มีต่อเย่ซิวตู๋ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความริษยาอย่างช้า ๆ ความริษยาประเภทนั้นเพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่งหลังจากที่เขาได้เห็นว่าพี่ห้ามีลูกชายที่น่ารัก ฉลาดและมีปานรูปดอกไม้เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เขายังคงไม่กระตือรือร้นต่อตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ความหมกมุ่นที่คิดอยากเอาชนะเย่ซิวตู๋กลับไปไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้แล้ว
เขาอยากให้ทุกคนรู้สึกว่า คนที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบและมีความสามารถโดดเด่นภายในอาณาจักรเฟิงชาง ไม่ได้มีแค่เย่ซิวตู๋เพียงคนเดียว แต่ยังมีน้องชายของเขาที่หลบซ่อนอยู่ใต้แสงสว่างของเขาอีกหนึ่งคน ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ครั้นนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของเย่ฮ่าวถิงก็เปลี่ยนเป็นความประหลาด ร้อนแรง รวมถึง…กระตือรือร้นที่จะลอง
ราวกับรู้สึกได้ถึงความคิดนี้ของเขา เย่ซิวตู๋ที่กำลังคุยกับฉีหานเว่ยชะงักไปในทันที ทั้งยังหันมองมาทางนี้ปราดหนึ่ง เพียงแต่เป็นเพราะไม่เห็นสิ่งใด เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและดึงสายตากลับมา
“รัชทายาทฉี วันนี้รบกวนแล้ว ในเมื่อองค์ชายสิบสามได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนที่เรือนรับรองเถิด”
เย่ซิวตู๋แอบรู้สึกหงุดหงิด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ควรจะสนิทกันถึงขั้นนี้กระมัง ถึงขั้นออกมายืนพูดคุยกันข้างนอกท้องพระโรงเชียวรึ?
ฉีหานเว่ยหรี่ตาลง ท่านอ๋องซิวผู้นี้เก่งในเรื่องหมดประโยชน์แล้วเฉดหัวส่งจริง ๆ
ฉีหานเทียนแอบรู้สึกกังวลใจ เมื่อได้ยินพี่ใหญ่ของตนเองพูดไปมากมายขนาดนั้นแต่กลับไม่ยอมพูดถึงประเด็นสำคัญ เขาจึงก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว พูดออกมาตรง ๆ ว่า “ท่านอ๋องซิว ข้าอยากไปเป็นแขกที่ตำหนักอ๋องซิว”
เขาอยากไปเจอแม่นางชิง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ความลำเอียงของพ่อก็เป็นเหตุให้พี่น้องแตกแยกกันได้เหมือนกันนะ ยิ่งโดนแม่แบบนี้เสี้ยมอีก
องค์ชายน้อยยังไม่ตัดใจจากแม่นางชิงอีกเหรอ ชิงลั่วโตพอที่จะเป็นท่านน้าของท่านได้แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)