อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 452 สายตาที่ดูแปลกไป
ตอนที่ 452 สายตาที่ดูแปลกไป
ตอนที่ 452 สายตาที่ดูแปลกไป
หลังจากนำฉีหานเว่ยและฉีหานเทียนเข้ามาด้านในห้องโถงด้านหน้า เย่ซิวตู๋ก็สั่งให้คนยกน้ำชาเข้ามา ส่วนตนเองยังคงนั่งด้วยท่าทางนิ่งสงบอยู่บนตำแหน่งประธาน จิบน้ำชาเบา ๆ หนึ่งคำ
“รัชทายาทฉี นี่เป็นใบชาที่เราได้มาตอนออกไปท่องโลกหลายปีมานี้ รสชาติดีมาก ท่านลองสักหน่อย?”
“อ๋อ?” ฉีหานเว่ยยิ้ม ค่อย ๆ เปิดฝาถ้วยน้ำชา กลิ่นหอมลอยแตะปลายจมูกภายในพริบตาเดียว รสชาติหอมหวานสดชื่นทำให้มีชีวิตชีวาชั่วขณะหนึ่ง “ชาชั้นดีจริง ๆ”
ฉีหานเทียนไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมการดื่มน้ำชา และไม่มีกะจิตกะใจจะดมกลิ่นหอมของมัน เขาเพียงแค่ดื่มไปหนึ่งคำตามมารยาท หันมองเย่ซิวตู๋ด้วยความรีบร้อน “ท่านอ๋องซิว จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบายที่กลางอก ช่วยไปเชิญแม่นางชิงมาดูอาการให้ข้าโดยเร็วที่สุดได้หรือไม่?”
เย่ซิวตู๋แอบแค่นเสียงหนึ่งเสียง ไม่สบาย? ไม่สบายแต่ไม่ยอมกลับไปพักผ่อน วิ่งแจ้นมาไกลถึงที่นี่
ทว่าเขาเองก็รู้สึกไม่เต็มใจที่จะนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนพวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา ไปหาอวี้ชิงลั่วก็ดี
ครั้นวางแก้วในมือลง เย่ซิวตู๋จึงลุกขึ้นยืนอย่างสบาย ๆ จัดแขนเสื้อเล็กน้อย พยักหน้ากล่าวว่า “พวกท่านพูดถูก เช่นนั้นรัชทายาทฉีและองค์ชายสิบสามรออยู่ที่นี่สักครู่ เราจะไปเชิญชิงเอ๋อร์มา”
“ไม่ต้องหรอก ให้ข้าไปหาก็ได้ ไม่ต้องรบกวนให้แม่นางชิงวิ่งมาถึงที่นี่” ฉีหานเทียนพูดพลางลุกขึ้นยืน
เย่ซวิตู๋หรี่ตาลง ยืนนิ่งอยู่กับที่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “องค์ชายสิบสาม ท่านเป็นองค์ชายของอาณาจักรหลิวอวิ๋น ก็ควรจะรู้เรื่องกฎเกณฑ์ เรือนหลังตำหนักอ๋องเป็นสถานที่สำหรับอิสตรี จะปล่อยให้บุรุษจากข้างนอกรุกล้ำเข้าไปได้เยี่ยงไรกัน?”
ฉีหานเว่ยแอบส่ายหน้า “เจ้าสิบสาม ในเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว เช่นนั้นก็นั่งรออยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นพี่ใหญ่สีหน้าเคร่งขรึมลง ฉีหานเทียนจึงตระหนักได้ว่าตนเองร้อนใจเกินไป จนเผลอไผลลืมตัว
ฉีหานเทียนยกมือขึ้นมาถูจมูก แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมกลับมานั่งบนที่ของตนเองอย่างเชื่อฟัง ใช้สายตาจ้องมองเย่ซิวตู๋ แสดงออกถึงความระแวดระวัง
ฉีหานเว่ยเห็นถึงกับขมวดคิ้วและถอนหายใจ หรือเป็นเพราะเขาตามใจเจ้าสิบสามมากเกินไป เขาแค่อยากให้เจ้าสิบสามได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ไม่จำเป็นต้องอยู่กับชีวิตที่หลอกลวงกันไปมาสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงปกป้องเจ้าสิบสามเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ทว่าเขากลับมองข้ามไปว่าเดิมทีพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวัง ทุกคำพูดและทุกการกระทำเป็นตัวแทนของราชวงศ์ บางอย่างก็มิอาจหลบหลีกได้ ต่อให้ในอนาคตเขาจะได้รับเกียรติอันใหญ่หลวง แต่ก็มีสิ่งที่ต้องดูแลอีกมาก ไม่มีทางที่เขาจะปกป้องเจ้าสิบสามเช่นนี้ได้ตลอดทั้งชีวิต
ดูเหมือนว่า เขาควรต้องให้เจ้าสิบสามเรียนรู้ที่จะเติบโต และได้รับบทเรียนบ้างแล้ว
เย่ซิวตู๋เหลือบมองฉีหานเว่ยปราดหนึ่ง กลั้วหัวเราะหนึ่งเสียงใส่อีกฝ่ายที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนหมุนกายเดินออกจากห้องโถงด้านหน้า
เขาเดินอย่างเชื่องช้า ยกมือทั้งสองข้างไพล่หลัง แผ่รังสีมืดหม่นออกมา
โม่เสียนที่เดินตามอยู่ข้าง ๆ พลันไม่เข้าใจ มิใช่ว่ามีข่าวดีส่งมาหรอกหรือ? มิใช่ว่าเหวินเทียนถูกปล่อยตัวเพราะพ้นผิดแล้วหรอกหรือ? เหตุใดนายท่านถึงดูอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย?
หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เย่ซิวตู๋ก็หยุดยืนอยู่ในบริเวณเรือนของอวี้ชิงลั่ว
เยว่ซินได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาจึงถอนสายบัวคารวะ ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ โม่เสียน
เย่ซิวตู๋เหลือบมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยถามว่า “วันนี้ชิงเอ๋อร์ทำอะไรไปบ้าง?”
“คุณหนูอ่านหนังสืออยู่ในห้อง วันนี้ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากห้องเลยเพคะ” เยว่ซินครุ่นคิด มีแม่นมเซียวคอยจับตาอยู่ ต่อให้คุณหนูอยากก้าวเท้าออกจากประตูก็คงไม่กล้าอยู่ดี
เย่ซิวตู๋พยักหน้า โบกมือให้พวกเขาทั้งสองคนออกไป เยว่ซินและโม่เสียนเพิ่งเดินออกไป เสิ่นอิงก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับถุงใบเล็กหนึ่งใบ “ท่านอ๋อง ของที่ท่านต้องการอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” เย่ซิวตู๋รับมาไว้ในมือ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าประตู
แม่นมเซียวยืนด้วยความเคารพนอบน้อมอยู่ข้างกายอวี้ชิงลั่ว ยังคงรักษาท่าทางเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนอย่างเคย นางหันหน้ามามองเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ตอนที่เห็นเย่ซิวตู๋ ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นจึงอ่อนโยนลง
“ท่านอ๋อง” นางถอนสายบัวให้เย่ซิวตู๋ ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายสั่ง แม่นมเซียวก็เดินออกจากห้องไปอย่างรู้งาน และปิดประตูจนแนบสนิท
มุมปากของอวี้ชิงลั่วถึงกับกระตุกวูบสองหน สายตาจ้องมองประตูบานนั้นอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดไม่จา
จนกระทั่งเย่ซิวตู๋เดินมาข้าง ๆ นาง จึงกล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “ท่านแอบใส่ยาเสน่ห์อะไรให้แม่นมเซียวกันแน่ ถึงได้ทำให้นางไม่สนใจแม้กระทั่งความบริสุทธิ์ของข้า”
“เหอะ มีหนานหนานทั้งคนแล้ว เรื่องระหว่างเรา เจ้ายังต้องการความบริสุทธิ์อะไรอีก?” เย่ซิวตู๋โยนถุงใบน้อยในมือลงบนโต๊ะ
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลง จ้องมองเขาปราดหนึ่ง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหตุใดท่านถึงได้ดูอารมณ์เสียนัก อะไรกัน เรื่องของเหวินเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลงรึ?”
“เหวินเทียนพ้นผิดถูกปล่อยตัวแล้ว เสิ่นอิงไปรับเขาแล้ว อีกไม่นานก็คงกลับมา ส่วนอาฝูตายแล้ว ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด”
อวี้ชิงลั่วดวงตาเป็นประกายทันใด “จริงรึ? เอ๋ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? วันนี้ท่านไปทำอะไรมา เหตุใดเรื่องราวถึงได้มาถึงขั้นนี้ ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ความโกรธภายในใจของเย่ซิวตู๋เริ่มพุ่งสูง โดยเฉพาะตอนที่เห็นอวี้ชิงลั่วใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความตื่นเต้น ยิ่งทำให้นางดูงดงาม เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกมดกัด จั๊กจี้จนยากเกินกว่าจะทนไหว
ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะงดงามถึงเพียงนี้ เหตุใดยิ่งมองกลับยิ่งทำให้รู้สึกทนไม่ไหว?
นางทำอะไรกับใบหน้าของตนเองกัน ยิ่งได้รู้จักกัน นางกลับยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
อวี้ชิงลั่วรออยู่นานทว่ากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเอ่ยปากพูด กลับเอาแต่จ้องหน้านาง สายตาคู่นั้นก็ดูไม่ปกติเอาเสียเลย เดี๋ยวก็ทำหน้าเหี้ยมเดี๋ยวก็ทำตาปรือ ทั้งยังยกมุมปากราวกับได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง
อวี้ชิงลั่วกลืนน้ำลาย เย่ซิวตู๋คงไม่ได้กินยาผิดหรอกกระมัง หรือโดนปีศาจเข้าสิง? ท่าทางเช่นนี้ของเขาราวกับคิดจะกินนางลงท้องก็มิปาน นางควรกระโดดหนีออกนอกหน้าต่างหรือเปิดประตูห้องออกไป แบบไหนถึงจะเร็วกว่ากัน?
“เอ่อ เย่ซิวตู๋ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” ขาทั้งสองข้างของอวี้ชิงลั่วเริ่มถอยออกไป “นี่ ข้าบอกไว้ก่อนนะ คนที่กระตุ้นโทสะท่านไม่ใช่ข้า จะมาโกรธข้าไม่ได้นะ วันนี้ข้าอ่านตำราของหมอเริ่นอยู่ในห้องอย่างเชื่อฟัง ยังไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น อีกอย่าง บุรุษที่ทุบตีสตรีถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดแล้ว หากวันนี้ท่านกล้าลงไม้ลงมือทุบตีข้า ข้ารับรองเลยว่าจะพาหนานหนานหนีไปให้ไกล และข้าจะใส่ยาพิษทำให้ร่างกายของท่านเน่าเปื่อยไปทั้งตัว นี่ ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ท่านเองก็รู้ดี อีกอย่าง ข้า…ว้าย…”
อวี้ชิงลั่วยังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างกายของนางที่เพิ่งจะถอยหลังออกไปสองสามก้าวถึงเซมาด้านหน้า มือขวาถูกเย่ซิวตู๋คว้าไว้ ส่วนเอวก็ถูกอีกฝ่ายโอบรัดจนแน่น ร่างกายของนางจึงแนบชิดเข้ากับแผงอกของเย่ซิวตู๋
ร่างหนึ่งกดลงตรงหน้านางอย่างฉับพลัน ตามมาติด ๆ ด้วยความเจ็บปวดที่บริเวณมุมปาก พลังปราณที่เป็นเอกลักษณ์ของเย่ซิวตู๋แทรกซึมเข้าสู่กลางใจของนาง กดทับจนทำให้นางหายใจไม่ออก ริมฝีปากถูกเขาบดขยี้ ยิ่งทำให้รู้สึกชาและจั๊กจี้ และเจ็บที่บริเวณปลายลิ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง แรงบดขยี้ที่บนริมฝีปากก็หายไป เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บเล็ก ๆ นั้นยังคงอยู่ ความว่างเปล่าในสมองยังไม่ทันได้รับการเติมเต็ม
จู่ ๆ ในอ้อมแขนของนางก็มีสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา อวี้ชิงลั่วก้มหน้ามองก็พบว่าถุงใบน้อยที่เย่ซิวตู๋ถือเข้ามาเมื่อครู่ถูกยัดไว้ในอ้อมแขนของตนเองแล้ว
??? นี่มันอะไรกัน?
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาการอย่างนี้ก็คือใจมันไม่เป็นของเราแล้วน่ะสิท่านอ๋อง กลิ่นน้ำส้มรุนแรงมากเลยนะท่าน
ไหหม่า(海馬)