อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 453 ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึ
ตอนที่ 453 ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึ
ตอนที่ 453 ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึ
เย่ซิวตู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวกับนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เปลี่ยนชุด”
เปลี่ยน…เปลี่ยนชุด? นี่มันอะไรกัน
อวี้ชิงลั่วได้สติกลับมาแล้ว ยังไม่ทันที่นางจะได้แสดงความโกรธเคืองเพราะความอับอาย ก็ถูกถุงในอ้อมแขนดึงดูดสายตาแล้ว นางหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดถุงใบนี้ด้วยความลังเล
ครั้นปล่อยมือ กลิ่นเหม็นก็ลอยแตะเข้าที่ปลายจมูกทันใด
อวี้ชิงลั่วยกมือขึ้นมาปิดจมูกพร้อมกับถอยหลังออกไปสองก้าว ถลึงตามองเย่ซิวตู๋พลางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นี่มันอะไรกัน?”
“เสื้อผ้า” เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เขาก็แค่สั่งให้เผิงอิงไปหาเสื้อผ้าสกปรกและมีกลิ่นเหม็นมาให้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะ…เหม็นขนาดนี้
อวี้ชิงลั่วถึงกับรูม่านตาหดเล็กลงอย่างห้ามไม่อยู่ ถอยผงะออกไปอีกสองก้าว “ท่านจะให้ข้าใส่สิ่งนี้เนี่ยนะ?”
“…” เย่ซิวตู๋ถึงกับสำลัก เดิมทีเขาอยากให้นางสวมใส่ แต่กลิ่นของเสื้อตัวนี้ทำให้คนรับไม่ไหวจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคืองเพราะความอาย “เย่ซิวตู๋ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ หากท่านกล้าสั่งให้ข้าใส่เสื้อตัวนี้ รับรองเลยว่าข้าจะจัดการท่านให้หมดสติแล้วพาไปโยนทิ้งไว้ในห้องสุขาสองวัน ชุดตัวนี้ไปเอามาจากในหลุมสุขากระมัง? ท่าน…ท่าน…วันนี้กินยาผิดรึ ถึงได้ทารุณข้าเช่นนี้?”
ให้ตายเถอะ กลิ่นเหม็นชะมัดเลย นางอยากจะอาเจียนแล้ว
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วมุ่น พูดตามตรง เสื้อตัวนี้ไม่เหมาะที่จะให้อวี้ชิงลั่วสวมใส่จริง ๆ
เขาไอกระแอมเสียงเบาหนึ่งเสียง ทนต่อกลิ่นก้าวเท้าไปด้านหน้าพลางห่อถุงไว้ ก่อนจะโยนออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างแม่นยำ
กลิ่นเหม็นยังคงคลุ้งอยู่ในห้อง โชคดีที่เสื้อไม่มีแล้ว กลิ่นจึงกระจายออกไปไม่น้อย
อวี้ชิงลั่งถลึงตามองเย่ซิวตู๋ด้วยสายตาเหี้ยมโหด วิ่งไปจุดก้านไม้หอมของตนเองที่วางอยู่ข้างโต๊ะ จึงรู้สึกได้ว่าอากาศดีขึ้นมาก
“เย่ซิวตู๋ มา ๆๆ ท่านบอกข้ามาว่าไปโดนอะไรกระตุ้นมากันแน่ ถึงได้ทำให้ท่านแสดงพฤติกรรมข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้?” ไอ้คนชั่วนี่เพิ่งจะกัดปากนาง ตอนนี้นางยังรู้สึกเจ็บปากอยู่เลย
เย่ซิวตู๋ยิ่งรู้สึกใจร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม เกิดอะไรขึ้น เหตุใดริมฝีปากแดงบวมเป่งของสตรีนางนี้ถึงได้ดูยั่วยวนมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้เย่ซิวตู๋ต้องยอมจำนน เขากำลังทำร้ายตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้เด็กน้อยฉีหานเทียนนั่นถึงได้ตกหลุมรักนาง เพราะนางทำให้คนรับไม่ไหวจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วถึงกับขนพองสยองเกล้า คิ้วถึงกับขมวดมุ่น “เย่ซิวตู๋ ท่านพูดให้ข้าฟังสิ”
เอาแต่เงียบขรึมและจ้องนางมันหมายความว่าอย่างไรกัน? ช่วยพูดกับนางให้มันชัดเจนมิได้รึ? นางรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ภายในใจ
เย่ซิวตู๋ถอนหายใจอย่างเนิบช้า ก้าวเท้ามาด้านหน้าพร้อมกับยื่นมือออกมา ดึงดอกไม้ประดับศีรษะสองชิ้นที่อยู่บนเส้นผมของนางโยนไปที่โต๊ะ
อวี้ชิงลั่วถึงกับตกใจ ทวีความสงสัยยิ่งขึ้น
เย่ซิวตู๋กวาดตาสำรวจนาง มุมปากคว่ำลง “ไม่ถูกสิ คราวก่อนตอนที่เจ้าเด็กนั่นเห็นเจ้า บนผมของเจ้ามีแค่ปิ่นปักผมหยกเพียงอันเดียว” ดังนั้น เขาจึงยื่นมือดึงปิ่นปักผมหยกที่อยู่บนเรือนผมของอวี้ชิงลั่วออกไปด้วย
“นี่ เย่ซิวตู๋ ท่านป่วยหรืออย่างไรกัน ท่านนั่งลงเดี๋ยวข้าตรวจให้”
เย่ซิวตู๋ไม่สนใจนาง เอียงศีรษะมองนางอีกสองหน คิ้วขมวดเล็กน้อย ยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
เย่ซิวตู๋หมุนกายเดินสำรวจรอบห้อง ค้นพบว่าภายในห้องสะอาดสะอ้าน หงเย่และเยว่ซินเก็บกวาดจนไม่เหลือแม้แต่คราบฝุ่น เขาเม้มปาก หมุนกายเดินออกจากห้องและเดินไปที่ลานด้านนอก
อวี้ชิงลั่วชะงัก ความโกรธภายในใจเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นเย่ซิวตู๋เดินออกจากห้องอย่างไร้เหตุผล ยิ่งทำให้นางรู้สึกได้ว่าคนคนนี้คงเป็นบ้าไปแล้ว
“น่าแปลกนัก เย่ซิวตู๋เป็นบ้าไปแล้วรึ?”
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง สิ้นเสียงของอวี้ชิงลั่ว บุรุษที่เพิ่งออกไปก็วิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วถึงกับตกใจจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา ลุกพรวดจากเก้าอี้ในทันที ในที่สุดสีหน้าของนางก็เปลี่ยนสีอย่างหนัก กล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “เย่ซิวตู๋ ท่าน…กรี๊ด…”
ตอนที่นางเพิ่งอ้าปากพูด เย่ซิวตู๋ก็โผนทะยานเข้ามาตรงหน้าของนาง ยกมือขึ้นและลูบมาที่บนดวงหน้าของนาง
อวี้ชิงลั่วรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปะอยู่บนใบหน้าของนาง เหนียว ๆ เปียก ๆ น่าขยะแขยงมาก
ทว่าเย่ซิวตู๋กลับไม่ยอมหยุด ฝ่ามือของเขาปาดเข้าที่พวงแก้มของนาง แม้แต่ปลายจมูกและคางก็ไม่ว่างเว้น จนกระทั่งคิดว่าใช้ได้แล้ว จึงหยุดมือราวกับรู้สึกโล่งอก มองผลงานชิ้นเอกของตนเองอย่างพึงพอใจ
“ตอนนี้แม้แต่ใบหน้าก็มองไม่เห็นแล้ว คิดว่าคงไม่มีความคิดอื่นอีก”
อวี้ชิงลั่วยกมือขึ้นมาลูบ เมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของตนเองมีโคลนดำปี๋ ในที่สุดจึงระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธเพราะทนไม่ไหว “เย่ซิวตู๋ สมองของท่านถูกประตูหนีบหรือถูกลาเตะกันแน่? เอาโคลนมาลูบหน้าข้าทำไม? ท่านคิดว่าท่านเป็นเด็กสามขวบที่หยิบของพรรค์นี้มาเป็นของเล่นงั้นรึ? หนานหนานยังไม่ทำตัวปัญญาอ่อนแบบท่านเลย คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าเอามาทาบนหน้าข้า หากท่านทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ก็อย่าดึงข้าเข้าไปบ้ากับท่านด้วย…”
เสียงของอวี้ชิงลั่วดังชัดเจน ทำให้โม่เสียนที่กำลังจะเข้ามารายงานภายในตำหนักถึงกับตกใจจนต้องหยุดฝีเท้า
ท่านอ๋อง รัชทายาทฉีทางฝั่งนั้นรอจนทนไม่ไหวแล้ว สั่งให้กระหม่อมเดินมาเร่งหลายหนแล้ว แค่เชิญแม่นางอวี้ จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามเชียวหรือ?
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงดุร้ายของอวี้ชิงลั่ว โม่เสียนจึงทำได้เพียงแค่หดหัว เดินไปเดินมาอยู่ในลานไม่กล้าก้าวเท้าไปด้านหน้า
ให้ตายเถอะ หากเข้าไปในเวลานี้คงได้โดนร่างแหไปด้วย เขาต้องถูกแม่นางอวี้ด่ากราดจนหมดสภาพแน่
จุ๊ ๆ ขนาดท่านอ๋องยังไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อารักขาตัวเล็ก ๆๆๆๆๆ แบบเขาเลย จริงหรือไม่
โม่เสียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจกลับไปที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อหาข้ออ้างถ่วงเวลาสักหน่อย
โม่เสียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หัวเราะด้วยความขมขื่นขณะวิ่งกลับมาตรงหน้าสองพี่น้องฉีหานเว่ยอีกครั้ง ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ต้องขอประทานอภัยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทฉี องค์ชายสิบสาม ตอนนี้แม่นางชิงกำลังหลอมยาสมุนไพร กำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญมาก จึงมิอาจออกมาได้ เรื่องนี้รัชทายาทและองค์ชายสิบสามก็ทราบดี แม่นางชิงคือหมอปีศาจ ย่อมต้องให้ความสำคัญกับยาสมุนไพรที่สุด ดังนั้น ในเวลานี้จึงห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีหานเว่ยกลับพยักหน้าด้วยท่าทางสง่างาม “นี่เป็นเรื่องปกติ จู่ ๆ พวกเราก็มาเยี่ยมเยียน ย่อมฉุกละหุก”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ดื่มน้ำชาอย่างสบาย ๆ อีกครั้ง
โม่เสียนลูบปลายจมูก ยิ้มแห้งต่อไป
ฉีหานเทียนกลับกลอกตา จ้องหน้าโม่เสียนอยู่ครู่หนึ่ง หลอมยาสมุนไพร? เขาไม่เชื่อหรอก ต้องเป็นเพราะท่านอ๋องซิวนั่นทำเรื่องบ้า ๆ อยู่เป็นแน่ ต้องเป็นเพราะเขาไม่อยากให้แม่นางชิงมาเจอตนเอง ดังนั้นจึงคิดหาวิธีเพื่อถ่วงเวลานาง เพื่อไม่ให้นางออกมาเจอเขา
ฉีหานเทียนแอบแค่นเสียงเย็นภายในใจ มุมปากกระตุก จู่ ๆ เขาก็ไถลตัวลงจากเก้าอี้ กระทืบเท้า “ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าดื่มน้ำชามากเกินไปแล้ว เอ่อ มนุษย์เรามีความเร่งด่วนสามประการ…”
โม่เสียนเข้าใจได้ภายในพริบตาเดียว “กระหม่อมจะพาองค์ชายสิบสามไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ๆ เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่ของข้าเถอะ ข้าถามทางเองได้”
ครั้นกล่าวจบ ยังไม่รอให้โม่เสียนโต้ตอบ ฉีหานเทียนก็พุ่งตัวออกจากประตูใหญ่ของห้องโถงด้านหน้า
เขาช่ำชองด้านการเขี่ยคนอื่นออกไปเป็นที่สุด คิดจะสะบัดโม่เสียนออกไปในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ด้วยเหตุนี้ตอนที่โม่เสียนไล่ตามหลังออกมา ก็ไม่รู้ว่าฉีหานเทียนวิ่งหายไปที่มุมใดของตำหนักแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โอ๊ย ท่านอ๋อง ถึงท่านจะดื่มน้ำส้มไปเยอะขนาดไหนท่านก็ใช้วิธีที่มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือ เห็นแล้วสงสารชิงลั่วจริงๆ เลย
ไหหม่า(海馬)