อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 458 เป็นห่วง
ตอนที่ 458 เป็นห่วง
ตอนที่ 458 เป็นห่วง
“ท่าน…ท่าน…ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร? เหตุใดใบหน้าท่านถึงได้ลายพร้อยเช่นนี้?” หนานหนานสาวเท้าฉับ ๆ สองสามก้าวเข้าไปตรงหน้าอวี้ชิงลั่ว เอียงศีรษะเล็ก ๆ จ้องมองอวี้ชิงลั่วไม่วางตา
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ รีบเบือนหน้าและเงยหน้าขึ้น ใช้มือปิดบังสิ่งสกปรกที่อยู่บนใบหน้าเป็นหย่อม
ก่อนจะถลึงตามองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ไอ้คนชั่ว เป็นเพราะเขาคนเดียวเลย
หลังจากที่หมอนี่นำโคลนมาป้ายหน้านาง ในที่สุดนางก็แทงเข็มใส่เขาเพราะทนไม่ไหว จนกระทั่งมือของเขาอ่อนแรงและทิ้งลงข้างลำตัว อวี้ชิงลั่วจึงแค่นเสียงเบาเดินออกนอกห้อง ถามหงเย่ที่รออยู่ด้านนอกลานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หงเย่บอกนางว่ารัชทายาทฉีและองค์ชายสิบสามมา กำลังนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิดเล็กน้อยก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเย่ซิวตู๋กำลังสร้างปัญหาอะไร เป็นเพราะเขาไม่อยากให้นางปรากฏตัวต่อหน้าฉีหานเทียนด้วยความสง่างามและสะอาดสะอ้านเกินไปมิใช่รึ? ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะหาอาภรณ์สกปรก ๆ มาให้และนำโคลนมาป้ายหน้านาง
บุรุษใจแคบผู้นี้ จะบอกนางตรง ๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมิได้เชียวรึ?
หลังจากอวี้ชิงลั่วกลับเข้ามาในห้อง นางจึงทำความสะอาดใบหน้าที่สกปรกมอมแมมโดยไม่สนใจสายตาโกรธเคืองของเย่ซิวตู๋ จากนั้นจึงเคลื่อนไหวต่อหน้าเย่ซิวตู๋อีกครั้งด้วยการผัดแป้งลงบนใบหน้ามากเป็นพิเศษ ทั้งยังแต้มจุดสีแดงให้มากขึ้นด้วย ทั่วทั้งใบหน้าถูกนางแต่งแต้มจนดูคล้ายกับผู้ป่วยโรคติดต่ออาการหนัก สภาพช่างดูน่าสะอิดสะเอียน
เย่ซิวตู๋จึงรู้สึกพึงพอใจ สั่งให้คนนำเสื้อลายดอกมาให้นางสวมใส่ ก่อนจะเดินนำนางออกมา
ทั้งสองคนก็แค่ไม่อยากให้คนรับใช้เห็นสิ่งที่อยู่บนใบหน้าของอวี้ชิงลั่วจนเรื่องราวบานปลายก็เท่านั้น จึงหาทางเดินเปลี่ยว ๆ ที่ไม่มีคนเพื่อไปที่ลานด้านหน้า และบังเอิญเรียกตามสัญชาตญาณตอนที่เห็นหนานหนานก็เท่านั้น
จากนั้น ก็ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเจอหน้าใครได้
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจ นางเจอกับหายนะโดยไม่คาดคิดจริง ๆ วันนี้นางอยู่แต่ในเรือนไม่ได้ออกไปไหนตลอดทั้งวัน แต่กลับมีเรื่องทรมานนางได้มากมายถึงเพียงนี้
เย่ซิวตู๋เห็นสายตาไม่พอใจของนาง จึงไอกระแอมเสียงเบาหนึ่งเสียง คิดจะเบี่ยงเบนความสนใจจากหนานหนาน
ทว่าเมื่อเห็นสภาพบนตัวของเขา คิ้วถึงกับขมวดเป็นปมทันใด “เกิดอะไรขึ้นกับตัวเจ้า? ไปอาบน้ำในบ่อโคลนมารึ?”
หนานหนานแอบรำพึงในใจว่า ‘ซวยแล้ว’ ก่อนจะลูบศีรษะพลางยิ้มแห้ง ๆ
โม่เสียนเดินเข้ามาพอดี หลังจากเห็นเย่ซิวตู๋จึงชะงักไปเล็กน้อย ครั้นเหลือบเห็นอวี้ชิงลั่ว รูม่านตาถึงกับหดเล็กลง รีบข่มเสียงหัวเราะดังอู้อี้ในคอทันที
อืม หัวเราะไม่ได้ ๆ นายท่านหึงหวง ทุกคนแค่คล้อยตามก็พอแล้ว เขาก็พอจะเข้าใจได้ อืม ต้องเข้าใจได้อยู่แล้ว
โม่เสียนรีบก้มหน้าลง ทันทีที่ก้มหน้าก็ประสานเข้ากับสายตาขอความช่วยเหลือของหนานหนาน
“…” โม่เสียนถึงกับปวดขมับ ถึงอย่างไรเขาก็โกหกนายท่านไม่ได้ อีกอย่าง หนานหนานก็ไม่อนุญาตให้บอกเรื่องที่เขาหกล้ม เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
โม่เสียนดึงสายไร้ความสามารถของตนเองกลับมา หนานหนานจึงถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคือง
เย่ซิวตู๋ไอกระแอมหนึ่งเสียง น้ำเสียงเคร่งขรึมลงหลายส่วน “หนานหนาน ข้าจำได้ว่าวันนี้เจ้าไปสนามแข่งมา เหตุใดถึงกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
หนานหนานหัวเราะอย่างขมขื่น ดวงตากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังวางมาดขรึม “ท่านพ่อ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย คราบสกปรกบนตัวแค่อาบน้ำก็สะอาดแล้ว ข้าคิดว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือท่านแม่ ท่านดูสิบนใบหน้าของท่านแม่ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ไปเรียกหมอให้มาตรวจดีหรือไม่? อืม ข้าเป็นห่วงท่านแม่มาก ข้าคิดว่าอาการของท่านแม่ร้ายแรงมาก จริง ๆ นะ”
อวี้ชิงลั่วเขกหัวหนานหนานแรง ๆ “เจ้านั่นแหละร้ายแรง ยังไม่ยอมตอบคำถามพ่อเจ้าอีก?”
หนานหนานรู้สึกน้อยใจมาก ท่านพ่อกับท่านแม่ทำเกินไปแล้ว นี่เรียกว่าปล่อยให้ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง[1] ชัด ๆ อบรมเลี้ยงดูบุตรไม่ได้เรื่องเลย
โม่เสียนเห็นสภาพบนใบหน้าของอวี้ชิงลั่ว ดวงตาพลันเป็นประกาย เบี่ยงเบนความสนใจด้วยการรีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง รัชทายาทฉีและองค์ชายสิบสามกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“…กลับไปแล้ว?” เย่ซิวตู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เกิดเรื่องที่เรือนรับรองของเขารึ?”
“คือว่า ก็ไม่ใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ คือ…คือองค์ชายสิบสามวิ่งร้องไห้ออกไป องค์ชายฉีก็เลยต้องตามออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” โม่เสียนพูดถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองหนานหนานปราดหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
อวี้ชิงลั่วกะพริบตาปริบ ๆ กลับไปแล้ว?
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับไปสักที ให้นางอยู่ในสภาพหน้าตาเช่นนี้ก็ทำให้เกิดแรงกดดันสูงเช่นกัน หากถูกแม่นมเซียวมาเห็นเข้า รับรองเลยว่าคงพูดว่านางไม่สนใจภาพลักษณ์ขององค์หญิง ถึงได้กล้าออกไปเจอรัชทายาทของอาณาจักรหลิวอวิ๋นด้วยสภาพเช่นนี้
โชคดี เขากลับไปแล้ว เย่ซิวตู๋ก็ไม่ต้องหึงหวง ส่วนนางก็ไม่ต้องมาเดินหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว
ทว่าเย่ซิวตู๋กลับขมวดคิ้วมุ่น องค์ชายสิบสามร้องไห้แล้ว? ร้องไห้ทำไม? อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะรออยู่ครึ่งชั่วยามแต่ไม่เจออวี้ชิงลั่วจึงร้องไห้ขี้มูกโป่ง
สายตาสงสัยเหลือบมองไปทางโม่เสียน “เกิดอะไรขึ้น?”
“แค่ก” โม่เสียนกำมือวางไว้ที่ปลายจมูกพลางไอกระแอมเสียงเบา ก่อนจะหันไปมองหนานหนาน “เอ่อ เป็นเพราะองค์ชายสิบสามรอแต่ไม่เห็นแม่นางอวี้ออกไป จึงวิ่งออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับหนานหนานที่เพิ่งกลับเข้ามาจากประตูหลังพอดี ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายสิบสามเถียงสู้หนานหนานไม่ได้ ก็เลย…ร้องไห้วิ่งออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “ท่านอ๋องอย่าได้เป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นรัชทายาทฉีก็อยู่ด้วย รัชทายาทก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ดังนั้น ต่อให้องค์ชายสิบสามร้องไห้ รัชทายาทฉีก็ไม่มีทางโทษหนานหนานหลังจากเกิดเรื่อง มิเช่นนั้นเขาคงออกตัวช่วยพูดแทนฉีหานเทียนไปแล้ว
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงพร้อมกัน ขณะหันมองไปทางหนานหนานด้วยท่าทางงุนงง
“เจ้า…พูดอะไรกับฉีหานเทียน?”
หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยท่าทางใสซื่อ ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวพร้อมกับส่ายหน้า ก้อนโคลนเล็ก ๆ ที่แห้งกรังอยู่บนเส้นผมถึงกับกระเด็นแปะลงบนตัวของโม่เสียน โม่เสียนเบี่ยงตัวไปข้าง ๆ ครึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างจากหนานหนานพลางหัวเราะด้วยรอยยิ้มขมขื่น
หนานหนานครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย คนคนนั้นทำตัวประหลาดนัก เอาแต่พูดโอ้อวดตัวเองอยู่ตลอดเวลา เอาแต่พูดว่าตนเองเก่งกว่าท่านพ่อ เก่งอะไรกัน? ท่านพ่อของข้ามีลูกชายแล้ว แต่เขายังไม่มี เรื่องนี้ก็เทียบไม่ติดแล้ว จริงหรือไม่ท่านพ่อ”
โม่เสียนยืนอธิบายอยู่ข้าง ๆ “แค่ก องค์ชายสิบสามพูดไปหลายประโยค หนานหนานกลับเอาแต่ตอบว่า ‘ท่านพ่อของข้ามีลูกชายแล้ว’ องค์ชายสิบสาม…ก็เลยสะเทือนใจ หนีไปพ่ะย่ะค่ะ”
“พรืด…” อวี้ชิงลั่วถึงกับหัวเราะเพราะห้ามไม่อยู่ สะเทือนใจอย่างหนักเลยสินะ นางช้อนสายตาเหลือบมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง เห็นแล้วใช่หรือไม่ ลูกชายของท่านฉลาดกว่าท่านเสียอีก
เย่ซิวตู๋ถึงกับกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แบบนี้…ก็ได้ด้วย?
หนานหนานยังคงทำหน้าราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาคิดจะแสดงออกอะไรกันแน่ ข้าพยายามเค้นสมองแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ออก ท่าทางนั้นของเขา ข้าเป็นกังวลจริง ๆ ว่าหลังจากนี้เขาจะเกิดปัญหาในการพูดและการแสดงออก ข้าเองก็เป็นห่วงจริง ๆ นะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง หมายถึง ห้ามไม่ให้คนอื่นทำแต่ตนเองกลับทำได้
สารจากผู้แปล
โอ๊ย ตลกท่านอ๋อง จำเป็นต้องทุบไหน้ำส้มขนาดนี้ไหม เอาหนานหนานมาช่วยก็จบแล้ว สงสารชิงลั่วมั่งเถอะ
ไหหม่า(海馬)