อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 460 กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น
ตอนที่ 460 กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น
ตอนที่ 460 กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น
เย่ซิวตู๋รู้สึกทึ่งเหลือประมาณ แค่เขาโอบเอวนุ่มของนาง ก็ทำให้อารมณ์และความปรารถนาของเขาพลุ่งพล่านโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์
ไม่ ควรพูดว่า เขาควบคุมมานานมากแล้ว ตอนนี้ไม่คิดจะข่มมันอีกต่อไป
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูกระสับกระส่ายเล็ก ๆ ของอวี้ชิงลั่ว เย่ซิวตู๋ถึงกับใจสั่น ประคองร่างขึ้นมาครึ่งตัวพลางใช้หน้าผากแตะเข้ากับหน้าผากของนาง “ไม่หรอก มีข้าอยู่ แม่นมเซียวไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ลมหายใจของอวี้ชิงลั่วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น ประสานเข้ากับลมหายใจหอบถี่ของอีกฝ่าย ลมหายใจของทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน อยู่ใกล้กันอย่างมาก
“เย่ซิวตู๋…ท่านควรใจเย็นลงอีกสักหน่อยดีหรือไม่”
“ข้าใจเย็นมานานมากพอแล้ว ตั้งแต่ได้นอนกอดเจ้าอยู่บนเตียงภายในจวนครั้งแรก มันทำให้ข้าต้องนอนทุกข์ทรมานทุกคืน ชิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นหมอ รู้ดีว่าเรื่องนี้หากอดกลั้นไว้นาน ๆ คงไม่ดีกับร่างกาย” จูบของเย่ซิวตู๋ประทับลงบนริมฝีปากของนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจพลางถามนางว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้า…ไม่เต็มใจใช่หรือไม่?”
คำถามนี้…สีหน้าของอวี้ชิงลั่วถึงกับเกิดความยุ่งเหยิง อีกฝ่ายคือเย่ซิวตู๋ นางย่อมไม่มีอะไรไม่เต็มใจ ก็แค่…ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็เท่านั้น
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ ย้ำเสียงเศร้าสลดของเย่ซิวตู๋ดังขึ้นอย่างเนิบช้า “ช่างเถิด”
อวี้ชิงลั่วถึงกับตกใจ โอบรอบลำคอของเย่ซิวตู๋ไม่ยอมให้เขาลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สายตาจ้องมองดวงตาเศร้าสร้อยเล็ก ๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะขยับริมฝีปากเข้าไปแตะ
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วโดยไม่ทิ้งร่องรอยให้เห็น แขนที่โอบรอบเอวของนางกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกเป็นเส้นโค้งที่ดูเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี
จนกระทั่งทั้งคู่หอบหายใจจนลมหายใจติดขัด เย่ซิวตู๋จึงเอียงศีรษะเล็กน้อย พรมจูบเบา ๆ ที่ซอกคอ หว่างคิ้วและคางของอวี้ชิงลั่ว มือทั้งสองข้างเริ่มดึงเสื้อของนางโดยไม่รู้ตัว
”จ๊อก ๆ…” จู่ ๆ ก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง การเคลื่อนไหวของเย่ซิวตู๋หยุดชะงัก ถึงกับซบหน้าลงที่ซอกคอของนางอย่างพ่ายแพ้ ถอนหายใจเบา ๆ “ชิงเอ๋อร์”
อวี้ชิงลั่วถึงกับหน้าแดงก่ำ ลูบท้องที่ส่งเสียงร้องของตนเองพลางยิ้มเจื่อน “ตอนเที่ยงข้ากินข้าวค่อนข้างน้อย”
เสียงหัวเราะอู้อี้ดังขึ้นข้างหูของอวี้ชิงลั่ว เย่ซิวตู๋ละเลียดขบลงบนติ่งหูกลมมนของนาง
อวี้ชิงลั่วอายจนกลายเป็นความโกรธ “ลุกขึ้น หิวแล้ว” ตอนเที่ยงนางกินข้าวคนเดียวจึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ได้เชียวรึ?
ในที่สุดเย่ซิวตู๋จึงขยับตัว นิ้วมือปัดป่ายที่ริมฝีปากบวมแดงของนางพลางยิ้มตาหยี เขายังคงกดทับบนเรือนร่างของอวี้ชิงลั่ว โอบกอดเอวของนางขณะกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “รออีกประเดี๋ยว”
อวี้ชิงลั่วไม่กล้าขยับ นางรู้ดีว่าหากตนเองขยับสุ่มสี่สุ่มห้าอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงได้
ร่างกายถึงกับแข็งทื่อ หลังจากรู้สึกได้ว่าลมหายใจที่เร่าร้อนของบุรุษข้างกายค่อย ๆ สงบลง นางจึงกระซิบถามว่า “คือว่า…ได้หรือยัง?”
“เฮ้อ” เย่ซิวตู๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงประคองกายขึ้นเล็กน้อย รวมถึงดึงตัวนางให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วย
เสื้อผ้าที่อยู่บนเรือนกายของอวี้ชิงลั่วยุ่งเหยิงเล็กน้อย เย่ซิวตู๋มองเพียงปราดหนึ่ง มือขยับช่วยจัดแต่งเสื้อผ้าให้นาง ทว่าจัดแต่งไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกอวี้ชิงลั่วยื่นมือออกมาขวางไว้ “ไปหยิบเสื้อของข้ามา”
สวมใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดตัวนี้ช่างไม่เข้ากับนางเลยจริง ๆ
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น ทว่ากลับลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟัง แหวกม่านและลงจากเตียง เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้นได้ง่าย ๆ เช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นเขาคงได้กลายร่างเป็นหมาป่าจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วรับเสื้อของตนเอง แอบเปลี่ยนกระโปรงด้านหลังม่าน
เสียงกุกกักดังออกมาจากด้านใน แม้ว่าเย่ซิวตู๋จะหันหลังให้นาง แม้ว่าจะมีม่านเตียงปิดบังอยู่ ทว่าในหัวของเขากลับจินตนาการถึงรูปร่างของนางในเวลานี้อย่างควบคุมไม่อยู่ แค่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนั้น ก็สามารถสรุปได้ว่าตอนนี้นางกำลังปลดเสื้อตัวนั้นอยู่
เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ว่าความปรารถนาทั่วทั้งร่างกายกำลังเริ่มอาละวาดพุ่งไปที่ส่วนล่างของร่างกายอีกครั้ง มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นกำปั้น พ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง รีบสะบัดความคิดอันยุ่งเหยิงเหล่านั้นออกจากหัว
อวี้ชิงลั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จในเวลาอันรวดเร็วและก้าวเท้าเดินลงมาจากเตียง หลังจากจัดแต่งผมหน้ากระจกเล็กน้อย จึงหมุนกายเดินลูบท้องเดินออกไป
ทว่านางก้าวเดินได้เพียงแค่สองก้าว กลับรู้สึกได้ว่าคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงยังคงหยุดนิ่งไม่ไหวติง นางจึงหันกลับไปถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรรึ?”
“ชิงเอ๋อร์” เย่ซิวตู๋ก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ทันได้เตรียมใจ แต่นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ในใจของเจ้าต้องมีความคิดเรื่องเข้าห้องหอ เจ้าต้องเก็บเรื่องนี้วางไว้ในใจ เจ้าเองก็รู้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อครู่ข้าอยากทำเช่นนี้ต่อไปจริง ๆ แต่ข้าไม่อยากทำให้เจ้าต้องปฏิเสธเพราะความกลัว แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ถึงความปรารถนาของข้า”
“…” สีหน้าของอวี้ชิงลั่วถึงกับบิดเบี้ยว ก่อนจะแดงก่ำขึ้นอย่างช้า ๆ เย่ซิวตู๋ สมองของท่านมีปัญหากระมัง เรื่องเช่นนี้ท่านจะพูดออกมาด้วยการวางมาดขรึมได้ด้วยรึ?
นางถลึงตามองเขาด้วยสายตาดุดัน “กินข้าว”
ความหมายนั้นของเขา คือเขาอาจกลายเป็นหมาป่าผู้หิวโหยได้ตลอดเวลา นางจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะ…เข้าห้องหอทุกเมื่อมิใช่รึ?
อวี้ชิงลั่วถึงกับอายจนไม่มีหน้าจะมองใครแล้ว นางรีบสาวเท้าไปที่โถงบุปผาทันที โดยไม่สนใจว่าเย่ซิวตู๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังจะเดินตามมาหรือไม่
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น เปลี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมเดินตามออกไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมาถึงโถงบุปผา หนานหนาน อวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงก็มานั่งรออยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา หนานหนานก็แสดงความไม่พอใจทันที “ท่านพ่อกับท่านแม่ชักช้าชะมัดเลย ข้าหิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเบา ๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เขา
เย่ซิวตู๋โบกมือสั่งให้คนนำอาหารมาขึ้นโต๊ะ ทว่าสายตากลับเอาแต่มองอวี้ชิงลั่วอยู่ตลอดเวลา
อวี้ชิงลั่วรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย เย่ซิวตู๋คนสมควรตาย ต่อให้พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ต่อให้ภายในที่แห่งนี้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ในหัวของนางกลับเอาแต่นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่ที่บอกให้นางเตรียมใจไว้ให้ดี
บัดซบ ในหัวของนางตอนนี้มีคำว่า ‘เข้าห้องหอ’ วนเวียนอยู่เต็มไปหมด อยากจะบ้าตายจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วก้มหน้าลงไม่พูดไม่จาแม้แต่ประโยคเดียว หนานหนานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงใช้นิ้วจิ้มแก้มของนางด้วยความฉงน
“ทำอะไรของเจ้า?”
“ท่านแม่ แก้มท่านแดงแจ๋เลย ไม่สบายจริง ๆ ใช่หรือไม่? ก่อนหน้านี้ก็หน้าลายทั้งหน้าเลย ตอนนี้ยังแดงขนาดนั้นอีก เป็นเพราะกินของผิดสำแดงมารึ? ให้หนานหนานจับชีพจรสักหน่อยดีหรือไม่?” หนานหนานเป็นห่วงมาก
เย่ซิวตู๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เห็นท่าทางของนางเช่นนี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคำพูดนั้นของตนเองเข้าไปอยู่ในใจของนางแล้ว เยี่ยมมาก เขาพึ่งพอใจต่อผลลัพธ์เช่นนี้
อวี้ชิงลั่วจับมือของหนานหนาน สายตาแอบหมองหม่นลง แค่นเสียงเย็นชาหนึ่งเสียง “ถ้าเจ้าไม่พูดแม่ก็ลืมไปแล้ว บอกแม่มาซะดี ๆ วันนี้เจ้าไม่ได้ไปที่สนามแข่งใช่หรือไม่?”
หนานหนานถึงกับใจเต้นตึกตักพร้อมกับเคลื่อนสายตาไปทางอื่น ท่านแม่นี่น่ารำคาญชะมัดเลย กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น [1] ไม่เข้าใจถึงคุณธรรมอันสูงส่งเมตตาต่อผู้เยาว์เลยสักนิด
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่ควรทำหรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
สารจากผู้แปล
วงวารท่านอ๋องเขานะคะ ไม่ได้สมปรารถนาสักที ๕๕๕
หนานหนานเตรียมโดนแม่สวด
ไหหม่า(海馬)