อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 461 บุรุษและสตรีอยู่กันสองต่อสอง
ตอนที่ 461 บุรุษและสตรีอยู่กันสองต่อสอง
ตอนที่ 461 บุรุษและสตรีอยู่กันสองต่อสอง
อวี้ชิงลั่วเห็นการแสดงออกของเขา ก็ทราบแล้วว่าการคาดเดาของตนเองมีโอกาสถูกแปดถึงเก้าส่วน
นางหันไปมองเย่หลานเฉิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “หลานเฉิง เจ้ากับหนานหนานไม่ได้ออกจากตำหนักไปพร้อมกันสินะ”
เย่หลานเฉิงถึงกับเหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผาก ท่านน้าชิงฉลาดยิ่งนัก ทำให้เขาแทบต้านไม่ไหวแล้ว
เย่หลานเฉิงถือถ้วยไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่ประโยคเดียว เอาแต่ก้มหน้าเงียบขรึมอยู่อย่างนั้น
บรรยากาศภายในโถงบุปผาแปลกไปจากเดิมภายในชั่วพริบตาเดียว หนานหนานเริ่มไถลตัวลงจากเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ หลังจากไถลตัวลงไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกอวี้ชิงลั่วดึงตัวขึ้นมา “จะไปไหน?”
“ท่านแม่ ข้าก็แค่ออกไปเล่นครู่เดียว”
“เล่นจนถึงขั้นเลอะโคลนไปทั้งตัวกระนั้นรึ?” นางไม่เชื่อ
“หก…หกล้ม”
โม่เสียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ลอบยกมุมปากเล็กน้อย หนานหนาน เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่รึว่าหากบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องและแม่นางอวี้จะทำให้อับอายอย่างยิ่ง?
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาด้วยสายตาเป็นอันตราย “หนานหนาน เจ้าอยู่กับแม่มานานขนาดนั้น เจ้าคิดว่าแม่จะเชื่อคำแก้ตัวห่วย ๆ เช่นนี้ของเจ้ารึ?”
หนานหนานหัวเราะขมขื่น เขารู้สึกได้ว่าท่านแม่กำลังโกรธ ถูกต้อง ต้องเป็นเพราะท่านแม่ถูกโจมตีบางอย่าง จึงทำให้ท่านแม่โกรธเคือง
เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปหาเย่ซิวตู๋ อีกฝ่ายยิ้มและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เอาเถิด เห็นแก่ความดีที่หนานหนานช่วยไล่ฉีหานเทียนแทนเขาในวันนี้ เขาจะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน
“ชิงเอ๋อร์ แม่นมเซียวกำลังจะมาแล้ว เจ้าเองก็รู้ว่านางให้ความสำคัญกับกฎบนโต๊ะอาหารมาก”
อวี้ชิงลั่วหันมาด้วยท่าทางดุดัน สองพ่อลูกคู่นี้กำลังสมคบคิดกันจริง ๆ คนไร้ยางอายอย่างเย่ซิวตู๋คนนี้ รักหนานหนานจนไม่ลืมหูลืมตา รักจนไม่ลืมหูลืมตาน่ะเข้าใจหรือไม่?
ถึงกระนั้น เมื่อหางตาเหลือบเห็นเงาของแม่นมเซียวเดินมาทางนี้จริง ๆ อวี้ชิงลั่วก็ถึงกับสำลักไปครู่หนึ่ง ปล่อยมือที่กำลังจับตัวหนานหนานเพื่อให้นั่งกินข้าวให้ดี
หนานหนานถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่งสายตาที่เป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใดไปหาเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋หรี่ตาสบตากับอีกฝ่าย บอกเขาอย่างชัดเจนว่าครั้งนี้จะยกเว้นให้ หากยังมีครั้งหน้า เขาจะยืนฝั่งเดียวกับอวี้ชิงลั่วอย่างแน่นอน
หนานหนานถอนหายใจ สมคบคิดกันจริง ๆ ด้วย สมคบคิดกันจริง ๆ สินะ
เย่หลานเฉิงและอวี้เป่าเอ๋อร์หันสบตากัน ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและเริ่มลงมือกินอาหาร
แม่นมเซียวเดินมาด้านหน้าโต๊ะอาหารอย่างเนิบช้า ยืนอยู่อย่างนั้นเงียบ ๆ จนกระทั่งทุกคนกินอาหารเสร็จแล้ว จึงถอนสายบัวเล็กน้อย กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านอ๋อง องค์หญิง ท่านเหวินกลับมาแล้วเพคะ”
ครั้นหนานหนานได้ยิน ดวงตาพลันเป็นประกาย “อยู่ไหน ๆ?”
แม่นมเซียวเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หนานหนานจึงกลับไปนั่งประจำตำแหน่งอย่างเชื่อฟังโดยเร็ว ก้มศีรษะเล็ก ๆ ด้วยความน้อยใจและไม่ได้เปล่งเสียงพูดอีก
แม่นมเซียวจึงรายงานกับเย่ซิวตู๋ว่า “ท่านเสิ่นและท่านเผิงประคองเขาไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วเพคะ”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับมุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงใหญ่
อวี้ชิงลั่วนำเด็กน้อยทั้งสามคนเดินตามหลังไป ครั้นเข้ามาด้านในห้องโถงใหญ่ก็พบว่าเหวินเทียนกำลังนั่งลงบนเก้าอี้อย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน เย่ซิวตู๋รีบสาวเท้าเข้ามา ยื่นมือประคองตัวของเหวินเทียนที่ทำท่าจะคารวะเขา “พอแล้ว บนตัวของเจ้ามีบาดแผล ไม่ได้มีคนนอกอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องคารวะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” เหวินเทียนยกมือคารวะ ส่วนเสิ่นอิงและเผิงอิงยังคงประคองเขาจากสองฝั่ง
อวี้ชิงลั่วมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขาทั้งสองข้างของเหวินเทียนยังอ่อนปวกเปียกและยังยืนได้ไม่มั่นคงเท่าไรนัก บาดแผลที่อยู่บนใบหน้าแม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี
เย่โฉวผู้นั้นก็ช่างใจเหี้ยมนัก เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ต่อให้วางแผนใส่ร้ายไม่สำเร็จ แต่ได้ทำให้เย่ซิวตู๋สูญเสียกำลังคนไป และทำให้ขาทั้งสองข้างของเหวินเทียนหักก็ถือเป็นเรื่องดี
จู่ ๆ อวี้ชิงลั่วก็รู้สึกได้ว่าการที่เย่โฉวถูกลดตำแหน่งนั้นยังไม่สาสมสำหรับเขา
“ประคองเขาเข้าห้องเถอะ ข้าจะดูบาดแผลให้”
เหวินเทียนชะงัก รีบส่ายหน้ากล่าวว่า “หายดีแล้วขอรับ ไม่ต้อง…”
เขายังพูดไม่ทันจบประโยค เย่ซิวตู๋ก็โบกมือสั่งให้เสิ่นอิงและเผิงอิงประคองเขาเดินไป ไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายคัดค้าน
เสิ่นอิงเห็นเหวินเทียนทำท่าจะพูด จึงรีบหยิกอีกฝ่าย “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
เหวินเทียนแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะปิดปากอย่างรู้งาน
อาการที่ขาของเขารุนแรงมากจริง ๆ แม้เมื่อวันก่อนอวี้ชิงลั่วจะดูอาการให้เขาแล้ว และทำการรักษาแบบง่าย ๆ ไปแล้ว แต่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้หายได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น
อวี้ชิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ หยิบค้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาเคาะที่ขาของเหวินเทียน คิ้วขดขมวดเข้าหากันจนแน่น
คนที่อยู่ในห้องมองมาด้วยความตึงเครียด ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินอวี้ชิงลั่วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ค่อนข้างรุนแรง หากคิดจะรักษาให้หายอย่างน้อย ๆ ก็ต้องพักรักษาตัวครึ่งปี”
“หมายความว่าอย่างไรนะขอรับ? ครึ่งปีนี้ข้าต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเลยหรือขอรับ?” เหวินเทียนถึงกับชะงัก ร้ายแรงขนาดนี้เลยรึ? ต้องให้เขานอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา เช่นนั้นเขาในฐานะผู้อารักขาจะมีประโยชน์อันใดอีก? ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะมิใช่รึ?
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ต้องนอนอยู่บนเตียงถึงครึ่งเดือน เร็วสุดใช้เวลาครึ่งเดือนก็เดินบนพื้นได้แล้ว แต่ห้ามออกแรงหนักเกินไป งดการใช้วรยุทธ์ชั่วคราว และห้ามยกของหนักเกินไปด้วย” นางอธิบายอย่างง่าย ๆ รอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเหวินเทียนทำท่าจะคัดค้าน จู่ ๆ นางก็ออกแรงบริเวณจุดที่นางกำลังเคาะ
เหวินเทียนสูดลมเย็นเข้าปอดทันใด หลับตาลงไม่เปล่งเสียงพูดแม้เพียงครึ่งพยางค์
“เหวินเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ในใจ แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? หากเจ้าไม่รักษาขาของเจ้าให้หายดี หลังจากนี้หากเป็นอาการเรื้อรัง สามวันดีสี่วันไข้ จะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เจ้ายินดีที่จะใช้เวลาครึ่งปีเพื่อรักษาขาของเจ้าให้หายดี หรือหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเจ้าจะออกไปกระโดดโลดเต้นใช้วรยุทธ์กับคนอื่น รอให้อาการเรื้อรังจนกำเริบหลังจากนี้อีก 1-2 ปี เมื่อถึงช่วงเสี่ยงอันตรายเจ้าจะได้กลายเป็นภาระของคนอื่น?”
เหวินเทียนเม้มปาก มิอาจคัดค้านได้
เสิ่นอิงตบบ่าของเขา “เอาเถอะ เจ้าก็เชื่อฟังคำพูดของแม่นางอวี้ให้ดี ข้างกายของนายท่านไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียว พวกเราก็ยังอยู่ แค่ครึ่งปี อีกไม่นานก็หายแล้ว”
เหวินเทียนถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจนปัญญา
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย นิสัยของเหวินเทียนคนนี้เป็นอย่างไรนางก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง พูดตามตรง นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงตะโกนเรียกหงเย่ที่ยืนอยู่ด้านนอกเข้ามา
“หงเย่ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าติดตามข้าก็เคยเรียนการนวดทางการแพทย์แบบง่ายมาก่อน ช่วงนี้ขณะที่เหวินเทียนรักษาตัว เจ้าอยู่ดูแลเขาที่นี่ก็แล้วกัน”
คนที่อยู่ในห้องถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ให้หงเย่ดูแลเหวินเทียน? นี่….ให้บุรุษและสตรีอยู่กันสองต่อสอง ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง
อวี้ชิงลั่วไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นางเดินทางทั่วยุทธจักรมาโดยตลอด กอปรกับตนเองเป็นหมอ รักษาคนไข้ที่เป็นบุรุษมาไม่น้อย หงเย่ก็ถือเป็นลูกศิษย์ของนาง ก่อนหน้านี้เคยศึกษาวิชาจากนางอยู่ครึ่งเดือนตอนที่อยู่อาณาจักรเทียนอวี่ หงเย่เป็นคนมีพรสวรรค์สูง เพียงไม่นานก็เรียนรู้จนเข้ามือ ทั้งยังเคยสัมผัสใกล้ชิดกับคนไข้ที่เป็นบุรุษมาก่อน
ตอนนี้ สายตาของนางจึงไม่ได้แบ่งแยกบุรุษและสตรี
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจของนาง หงเย่ก็ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ละเอียดอ่อนและชาญฉลาด มีความสามารถที่จะหยุดความคิดของเหวินเทียนที่คิดหาทางทำพฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองได้เป็นแน่
“แม่นางอวี้ หงเย่…”
“เพคะ องค์หญิง บ่าวจะดูแลท่านเหวินสุดแรงกายแรงใจ ทำให้ท่านเหวินหายโดยเร็วที่สุดเพคะ” คำพูดคัดค้านยังไม่ทันหลุดออกมาจากปากของเหวินเทียน หงเย่ก็ขานตอบรับอย่างเชื่อฟังด้วยรอยยิ้ม
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แสบจริงๆ สองพ่อลูกคู่นี้
ชิงลั่วจะต่อเรือเหวินเทียนกับหงเย่เหรอคะ
ไหหม่า(海馬)