อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 462 ไม่ไว้วางใจ
ตอนที่ 462 ไม่ไว้วางใจ
ตอนที่ 462 ไม่ไว้วางใจ
เหวินเทียนถึงกับสำลัก แอบลังเลคิดอยากคัดค้าน
หงเย่กลับหมุนกายหันมาถอนสายบัวเล็กน้อยตรงหน้าเขา “ท่านเหวิน หากหงเย่ทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ท่านเหวินชี้แนะได้ทันทีเลยนะเจ้าคะ”
“…” เหวินเทียนมุมปากกระตุกวูบ หากเขาคิดอยากจะปฏิเสธนางในตอนนี้ เกรงว่าคงทำให้หงเย่เสียหน้า
เขาลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น
อวี้ชิงลั่วเริ่มจ่ายยาส่วนหนึ่งอีกครั้ง แล้วสั่งให้เย่หงไปนำยาขี้ผึ้งมาสองสามขวดจากในห้องของนาง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปทำความสะอาดมือ
“หงเย่ รบกวนเจ้าดูแลเหวินเทียนด้วย หากเขากล้าลงจากเตียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าจัดการได้เลย”
เหวินเทียนได้ยินคำพูดนี้ถึงกับสะดุ้งภายในพริบตาเดียว รู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังและขาพลันร้อนผ่าว
หงเย่กลับยิ้มตาหยี หลังจากมองเหวินเทียนปราดหนึ่ง จึงตอบไปว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า นวดคลึงลำคอพลางหมุนกายเดินออกจากห้อง
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทลงแล้ว เย่ซิวตู๋ไม่รู้ว่าเดินมาถึงด้านหลังของนางตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังใช้ฝ่ามือออกแรงนวดคลึงที่ลำคอของนางเบา ๆ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกได้ถึงกระแสอุ่น ๆ ที่ไหลเข้ามาจากบ่าและลำคออย่างเนิบช้า ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้นภายในพริบตาเดียว ทั่วทั้งร่างถึงกับสั่นสะท้าน รู้สึกสบายร่างกายจนแทบร้องขอชีวิต
“คิดไม่ถึงเลยว่าท่านก็มีประโยชน์ด้านนี้อยู่เหมือนกันนะ” อวี้ชิงลั่วหันมาเลิกคิ้วแย้มยิ้ม นัยน์ตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นมีแผนร้ายเป็นประกายจาง ๆ
เย่ซิวตู๋มุมปากกระตุกวูบ ดึงมือกลับมาพร้อมกับโอบเอวนางกลับเรือนด้วยกัน
“ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าอ่านหนังสือทั้งวัน เป็นหนังสือเหล่านั้นของท่านหมอเริ่นรึ?” ครั้นประตูห้องถูกปิด เย่ซิวตู๋จึงเดินไปนั่งข้างโต๊ะพลางรินน้ำชาสองแก้ว
อวี้ชิงลั่วจ้องมองการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติของเขาด้วยท่าทางแข็งทื่อ เขาจะเดินตามนางเข้ามาในห้องเพื่ออะไร? บอกเองมิใช่หรือว่าวันนี้ไม่ได้คิดจะทำอะไร? เช่นนั้นท่านก็กลับไปนอนที่เรือนของตนเองเสียสิ ไม่รู้ว่าเรือนตู๋ที่เดิมทีเงียบเชียบอยู่แล้ว หากเขาไม่อยู่ที่นั่นจะยิ่งเงียบเชียบหรือไม่?
นางก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าสองก้าวอย่างเงียบ ๆ รับแก้วน้ำชาอีกใบที่อีกฝ่ายยื่นให้ ยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปว่า “อืม เป็นหนังสือของท่านหมอเริ่น”
“แล้วเจออะไรบ้างหรือไม่?”
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของอวี้ชิงลั่วถึงกับเคร่งขรึมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางส่ายหน้า แอบรู้สึกผิดหวัง “ไม่มีเบาะแสอะไร โดยทั่วไปแล้วเป็นบันทึกทางการแพทย์บางส่วนจากการวิจัยและประสบการณ์หลังการรักษาผู้ป่วยของเขา ในนั้นกล่าวถึงโรคโดยทั่วไปบางส่วน ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ”
เย่ซิวตู๋เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “บางที อาจจะไม่ได้อยู่ในตำราเหล่านี้ ท่านหมอเริ่นเป็นคนระมัดระวัง ของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา คงไม่นำไปวางรวมกับหนังสือเหล่านี้”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้าเห็นด้วย “บางทีวันหลังอาจต้องไปถามท่านหมอเจียงถึงจะรู้”
“อืม” เย่ซิวตู๋ดื่มน้ำอีกหนึ่งแก้ว ตอนที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้น จู่ ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ
ทั้งสองคนหันมองหน้ากัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงของแม่นมเซียวที่ยังคงเรียบเฉย “ท่านอ๋อง พ่อบ้านหยางมาเพคะ”
เย่ซิวตู๋ลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดประตู ตามมาด้วยใบหน้าของพ่อบ้านหยางที่ปรากฏด้วยท่าทางจริงจังเล็กน้อย “ท่านอ๋อง นี่คือเทียบเชิญจากในวังพ่ะย่ะค่ะ”
“ในวัง?” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะรับเทียบเชิญฉบับนั้นมา
พ่อบ้านหยางทำท่าทางยึก ๆ ยัก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “เทียบเชิญฉบับนี้ส่งมาจากขันทีน้อยในตำหนักของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ตามที่ขันทีน้อยแจ้งไว้ บอกว่าเหมิงกุ้ยเฟยขอเชิญแม่นางอวี้เข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านหยางยังพูดไม่ทันจบประโยค คิ้วของเย่ซิวตู๋ถึงกับขมวดเข้าหากันจนแน่น
เทียบเชิญของเหมิงกุ้ยเฟย
มุมปากของเขาพลันขึงตึง โบกมือสั่งให้พ่อบ้านหยางออกไป ก่อนจะปิดประตูห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
อวี้ชิงลั่วเห็นก็รู้สึกประหลาดใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้น สีหน้าถึงได้เปลี่ยนเป็นดูไม่จืดเช่นนี้
เย่ซิวตู้ช้อนสายตามองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะยื่นเทียบเชิญให้นาง “หมู่เฟยสั่งให้เจ้าเข้าวังในวันพรุ่ง เหอะ บอกว่าอยากพูดคุยกันให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาความรู้สึกของกันและกัน”
เขาถึงกับยิ้มเยาะอย่างห้ามไม่อยู่ พัฒนาความรู้สึก? เกรงว่าคงมีเจตนาอื่นมากกว่ากระมัง
อวี้ชิงลั่วขำพรืด เหมิงกุ้ยเฟยคิดจะเรียกตัวนางไปทรมานสักหนสองหนกระนั้นรึ?
นางเปิดเทียบเชิญกวาดตาอ่านปราดหนึ่ง ความหมายช่างแสนง่ายดาย วันพรุ่งจะมีงานเลี้ยงที่ตำหนักอี๋ซิ่ง จึงเชิญให้สตรีชั้นสูงผู้มีชื่อเสียงส่วนหนึ่งไปร่วมงานเลี้ยงในตำหนัก แน่นอน สิ่งสำคัญก็คือต้องการเลี้ยงต้อนรับอวี้ชิงลั่วองค์หญิงเทียนฝูที่มาจากอาณาจักรเทียนอวี่ผู้นี้
อืม จุดสำคัญก็คือนาง
อวี้ชิงลั่วหัวเราะ จู่ ๆ นางก็ถามเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้งว่า “วันพรุ่งนี้เหมิงกุ้ยเฟยไม่ไปสนามแข่งรึ?” อีกอย่างในนั้นก็เขียนไว้ว่ามีสตรีชั้นสูงจำนวนมากเสียด้วย หรือพวกนางว่างมาก?
เย่ซิวตู๋แย่งเทียบเชิญที่อยู่ในมือของนางโยนไปบนโต๊ะ แค่นเสียงเบาหนึ่งเสียง ตอบว่า “ชินเทียนเจียน [1] ทางฝั่งนั้นส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะตก อีกอย่างฝนตกหนักในช่วงบ่ายจะทำให้สนามแข่งเปียกแฉะเป็นหลุมโคลน เกรงว่าการแข่งวรยุทธ์ในวันพรุ่งนี้คงต้องเลื่อนไปก่อน โดยปกติแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นการแข่งฝ่ายบู๊ที่สามารถแข่งภายในอาคารได้ แต่พื้นที่ภายในอาคารมีจำกัด ดังนั้นสตรีจึงเข้าไปไม่ได้”
อวี้ชิงลั่วตระหนักได้ในทันที ไม่แปลกใจเลยที่จู่ ๆ เหมิงกุ้ยเฟยจะเกิดความคิดนี้ ถึงได้เชิญนางไปกินข้าว
เทียบเชิญนี้ นางก็คงทำได้แค่รับไว้
“วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
อวี้ชิงลั่วชะงัก ยกปลายนิ้วจิ้มไปที่มุมปากขึงตึงของอีกฝ่าย พูดพลางหลุดขำว่า “เย่ซิวตู๋ ท่านจะประหม่าขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน? คนที่หมู่เฟยของท่านเชิญล้วนเป็นสตรี ท่านเป็นบุรุษเข้าไปเพียงคนเดียว จะไม่กลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่นหรือ?”
“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าใครจะกล้าขำข้า” เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ พลังบนร่างกายพลันเพิ่มขึ้น ท่าทางที่มิได้สนใจต่อชื่อเสียงของตนเองแม้แต่น้อยของเขา ทำให้อวี้ชิงลั่วถึงกับใจเต้นแรงภายในพริบตาเดียว
จบเห่แล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากที่ได้เปิดใจคุยกัน นางก็ให้ความสนใจต่อเย่ซิวตู๋มากขึ้นเรื่อย ๆ แค่เขาแสดงออกว่าสนใจนางเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำให้นางจมดิ่งลงโดยไม่รู้ตัว ถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้นมากขึ้นทุกทีแล้ว
เป็นเช่นนี้จริง ๆ สตรีหนึ่งคนเมื่อได้หวั่นไหว ก็ยิ่งคิดอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ได้ ๆ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “เย่ซิวตู๋ ท่านต้องไปสนามแข่ง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่ใช่ดอกไม้ในเรือนกระจกสักหน่อย ข้ารู้จักความพอดี อีกอย่าง ข้างกายของข้ายังมีแม่นมเซียว ถ้ายังไม่พอ วันพรุ่งข้าจะพาหงเย่ไปด้วย หงเย่มีวรยุทธ์ ท่านยังต้องกลัวไปไย”
คิ้วของเย่ซิวตู๋แทบจะผูกกันอยู่แล้ว ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด “ในวังมีแต่ความชั่วร้ายมืดหม่น หงเย่มีเพียงสองหมัดคงยากที่จะสู้กับสี่มือของศัตรู วรยุทธ์ของนางมากสุดคงสูสีกับเฟยเกอที่อยู่ข้างกายของหมู่เฟย”
อวี้ชิงลั่วพ่ายแพ้ให้กับเขาแล้ว หรือเย่ซิวตู๋คิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะลงมือกับนางอย่างโจ่งแจ้ง? อย่างน้อย ๆ ตอนนี้นางก็เป็นถึงองค์หญิงของอาณาจักรเทียนอวี่ อย่างน้อย ๆ ถังไป๋ชือก็ยังอยู่ในอาณาจักรเฟิงชาง
โดยปกติเย่ซิวตู๋เป็นคนฉลาดมากมิใช่รึ? เหตุใดแม้แต่เรื่องนี้ยังคิดไม่ได้?
แต่…เมื่อได้เห็นการแสดงออกที่ดูไม่ไว้วางใจเหลือประมาณของเขา อวี้ชิงลั่วจึงเม้มปาก เอียงศีรษะครุ่นคิดชั่วครู่ ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาพลันเป็นประกายแวววาว “หรือจะให้ข้าพาไปเพิ่มอีกคน?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ชินเทียนเจียน (钦天监) หรือ สำนักหอดูดาวหลวง มีหน้าที่สังเกตการณ์ตำแหน่งปรากฏของวัตถุท้องฟ้า ทำปฏิทิน ปูมดาราศาสตร์ (ปฏิทินที่คำนวณปรากฏการณ์ท้องฟ้าล่วงหน้า) แผนที่ดาว จากนั้นส่งบันทึกการสังเกตการณ์และเอกสารทางดาราศาสตร์ให้แก่ราชสำนัก
สารจากผู้แปล
นังกุ้ยเฟยคิดวางแผนจะทำอะไรชิงลั่วอีก?
ไหหม่า(海馬)