อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 464 รู้สึกดี
ตอนที่ 464 รู้สึกดี
ตอนที่ 464 รู้สึกดี
อวี้ชิงลั่วแอบจดจำไว้ใจ ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ในห้องแห่งนี้ นอกจากก้าวมิ่งฟูเหรินที่มีระดับเพียงไม่กี่คน โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นกุ้ยเฟย องค์หญิง และจวิ้นจู่ [1] ภายในวังแห่งนี้
“องค์หญิง หากอ้างตามเหตุผล เราควรจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับการมาเยือนขององค์หญิงตั้งนานแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของเหมิงกุ้ยเฟยดังขึ้นข้างหูของอวี้ชิงลั่ว ต้องยอมรับว่า นอกจากนิสัยของนางที่มักจะคิดเล่นงานเย่ซิวตู๋แล้ว เหมิงกุ้ยเฟยถือเป็นสาวงามไร้ที่ติจริง ๆ มีเสน่ห์ มีความสง่างาม มีพลัง ไม่ว่าจะแข็งหรืออ่อนล้วนถูกนางจับจุดได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
“ทว่าการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรกำลังจัดเตรียมกันอย่างคึกคักเสมือนเปลวไฟลุกโหม เราเองก็มิอาจแยกร่างเพื่อไปทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสได้นั่งคุยกับองค์หญิงอย่างเงียบ ๆ เสียที”
อวี้ชิงลั่วยิ้มตอบ “เหนียงเหนียงเกรงใจแล้วเพคะ การแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมมิอาจปล่อยให้ล่าช้าได้ อีกอย่างหม่อมฉันก็ปิดบังสถานะมาโดยตลอด มิอาจโทษคนอื่นได้เพคะ”
เฮ้อ อันที่จริงนางอยากถามเหมิงกุ้ยเฟยเสียเหลือเกินว่านางตั้งใจจัดงานเลี้ยงในวันนี้ด้วยเพราะเหตุใดกันแน่ พูดออกมาตรง ๆ ก็ดี ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมกับนางเช่นนี้ก็ได้ เพราะนางรู้สึกอึดอัดกับการสนทนาอย่างเป็นทางการเช่นนี้เหลือเกิน
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด หรือจะผลักแม่นมเซียวออกมาให้จบ ๆ ไป
“ในเมื่อองค์หญิงหมั้นหมายกับซิวเอ๋อร์แล้ว เราก็ถือเป็นว่าที่พระสัสสุ(แม่สามี)ขององค์หญิงในอนาคต พวกเราไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันเช่นนี้ องค์หญิงเรียกเราว่าหมู่เฟย เราเรียกองค์หญิงว่าชิงเอ๋อร์ องค์หญิงคิดเห็นอย่างไร?”
ไม่…อวี้ชิงลั่วแอบสบถอยู่ภายในใจ ทว่ากลับยังรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า
ทว่าโชคดีที่ไม่ต้องรอให้นางตอบ แม่นมเซียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “โปรดกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงประทานอภัยด้วยเพคะ ก่อนองค์หญิงเดินทางออกจากอาณาจักรเทียนอวี่ ฮองเฮาเหนียงเหนียงของอาณาจักรเราเคยตักเตือนไว้ว่าห้ามทำตัวไร้มารยาท องค์หญิงและท่านซิวอ๋องยังไม่ได้อภิเษกสมรส จะเรียกเหนียงเหนียงว่าหมู่เฟยได้อย่างไรกันเพคะ?”
ใบหน้าของเหมิงกุ้ยเฟยถึงกับแข็งทื่อไปเล็กน้อย สายตาที่มองแม่นมเซียวฉายแสงคมกริบจางๆ
ก็แค่คนรับใช้ของอาณาจักรเพื่อนบ้านคนหนึ่ง กลับกล้าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อหน้าเจ้านาย เจ้านายยังไม่ทันได้ปริปากพูด กลับกล้าส่งเสียงพูดแทรกแล้ว นี่คือกฎของอาณาจักรเทียนอวี่รึ? นี่คือคำตักเตือนของฮองเฮาเหนียงเหนียงของพวกเขารึ?
เหมิงกุ้ยเฟยลอบยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ ทว่าภายนอกกลับประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เอนตัวไปด้านหลังอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกแก้วน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบเบา ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างมาก “อ๋อ? งั้นรึ? ในเมื่อเป็นคำตักเตือนของฮองเฮาเหนียงเหนียงของอาณาจักรท่าน เช่นนั้นเราก็คงพูดอะไรมากไม่ได้แล้ว”
ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงานกัน หากมีสักวันที่พวกเขาสามารถแต่งงานกันได้อย่างราบรื่น คนแรกที่นางจะไม่ปล่อยไว้ก็คือนังแก่หนังเหนียวผู้นี้
แม่นมเซียว เหอะ คิดว่าที่นี่คืออาณาจักรเทียนอวี่ที่ให้นางทำได้กระนั้นรึ?
อวี้ชิงลั่วรู้สึกชื่นชมในสมาธิของเหมิงกุ้ยเฟยเหลือประมาณ ถูกทำให้เสียหน้าเช่นนี้ยังยิ้มออกได้
แม่นมเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้ หลังจากนี้คงเป็นปัญหาใหญ่ของอวี้ชิงลั่ว
“แม่นมท่านนี้ ฮองเฮาของอาณาจักรเจ้าเคยตักเตือนหรือไม่ว่าก่อนแต่งงานห้ามอาศัยอยู่ในตำหนักของว่าที่พระสวามี?” สตรีอายุค่อนข้างมากที่นั่งอยู่ข้างเหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น ดูจากการแต่งกายแล้วก็ดูเหมือนว่าคงได้ตำแหน่งสนมชั้นเฟยที่ไม่ต่ำเช่นกัน
อวี้ชิงลั่วกวาดตามองปราดหนึ่งอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้มองอย่างละเอียดมากมายอะไร แต่จมูกที่ดูค่อนข้างแบนของอีกฝ่ายกลับดูคล้ายองค์ชายสาม
แม่นมเซียวหันไปถอนสายบัวเล็กน้อยให้กับสตรีผู้นั้น ตอบไปว่า “องค์หญิงอาศัยอยู่ตำหนักอ๋องซิวในฐานะของหมอปีศาจ เพื่อพัฒนาโอสถอันล้ำค่าที่มิอาจถูกขัดจังหวะทำให้เสียหายได้จึงต้องรบกวนท่านอ๋องซิว แม้ว่าฮองเฮาของอาณาจักรเราจะมีกฎเกณฑ์ตักเตือน แต่การอาศัยอยู่ในตำหนักอ๋องซิวเป็นพระราชโองการของฮ่องเต้อาณาจักรเฟิงชาง หรือเหนียงเหนียงคิดว่าฝ่าบาททรงทำผิดกฎ มีพระดำริที่ไม่เหมาะสมหรือเพคะ?”
“เจ้า…”
เหมิงกุ้ยเฟยมองนางปราดหนึ่ง กดฝ่ามือลง ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป ทำแค่เพียงพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หลิวเฟย เรื่องนี้ฝ่าบาทเคยตรัสไว้แล้วว่าไม่ให้กล่าวถึงอีก”
หลิวเฟยแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง เบือนหน้าไปทางอื่นไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
เหมิงกุ้ยเฟยกลับจับมือของอวี้ชิงลั่วอย่างสนิทสนม กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “องค์หญิงอย่าได้ถือสา เราจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักสักหน่อย นี่คือหลิวเฟยเหนียงเหนียง หมู่เฟยขององค์ชายสาม เจ้าเองก็เคยเจอองค์ชายสามมาก่อนแล้ว”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า กล่าวทักทาย “คารวะหลิวเฟยเหนียงเหนียง”
หลิวเฟยแค่นเสียงอีกหนึ่งเสียง เชิดคางขึ้น ทำท่าทางราวกับไม่เต็มใจที่จะสนทนากับนางให้มากมาย
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด องค์ชายสามก็คงได้รับนิสัยมาจากนางไม่มากก็น้อย พูดไม่คิด จิตใจคดเคี้ยว ทั้งยังปากร้าย ช่างเป็นคนที่ไม่น่าคบหาเอาเสียเลย
“ท่านนี้คือซูเฟยเหนียงเหนียง หมู่เฟยของท่านอ๋องเป่าองค์ชายใหญ่ ซูเฟยสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดิมทีพักผ่อนอยู่ในตำหนัก เราคิดว่าองค์หญิงคือหมอปีศาจ มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง จึงเชิญซูเฟยให้มาที่นี่ อยากขอร้ององค์หญิงช่วยจับชีพจรให้ซูเฟยได้หรือไม่?”
เหมิงกุ้ยเฟยดึงมือของนางสนมอีกคนหนึ่ง ก่อนจะแนะนำด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของซูเฟยแอบขาวซีด ดูเหมือนว่าจะป่วยเรื้อรังมานานมากแล้วจริง ๆ สายตาของนางกลับดูอ่อนโยน สายตาที่มองอวี้ชิงลั่วก็เต็มไปด้วยความปรารถนาดี
อวี้ชิงลั่วนึกถึงฉากในสนามแข่งเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ นางคือคนที่ก้าวเท้าออกมาตำหนิเรื่องหมอหลวงของเหมิงกุ้ยเฟยด้วยความชอบธรรม ทำให้อวี้ชิงลั่วเกิดความรู้สึกดีต่ออีกฝ่ายเล็ก ๆ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้เพคะ”
ครั้นกล่าวจบ นางก็สั่งให้หงเย่นำกระเป๋าเครื่องมือของตนเองมาวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบหมอนจับชีพจรใบนุ่มออกมา พร้อมกับทำท่า ‘เชิญ’
ซูเฟยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากส่งเสียงไอเบา ๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะวางมือลงบนหมอนจับชีพจรด้วยท่วงท่าสง่างาม
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิดแค่เพียงครู่หนึ่ง นางดึงมือกลับมาพลางมองซูเฟยแล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “โรคของเหนียงเหนียงเป็นโรคเก่า หากคิดจะรักษาเกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย”
“ความหมายขององค์หญิงคือ โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้หรือ?” ซูเฟยเอนตัวมาด้านหน้าด้วยความตื่นเต้นเพราะควบคุมตัวเองไม่อยู่
ร่างกายของนาง นางย่อมรู้ดีที่สุด หมอหลวงที่มาดูอาการให้หลายคนล้วนบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ มากสุดก็แค่ทำให้อาการของโรคดีขึ้น ทำให้นางไม่ต้องทรมานขนาดนั้น เป็นเพราะโรคนี้ ฮ่องเต้จึงไม่ได้เสด็จไปที่ตำหนักของนางมาหลายปีแล้ว หากสามารถรักษาได้ เช่นนั้นอวี้ชิงลั่วก็จะกลายเป็นผู้มีบุญคุณของนาง
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า “แต่นี่เป็นแค่การวินิจฉัยเบื้องต้นเท่านั้น กลับไปคงต้องหาเวลาอีกครั้ง หม่อมฉันจะช่วยตรวจร่างกายของเหนียงเหนียงอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงจะเขียนใบสั่งยาได้”
ซูเฟยถอนหายใจเบา ๆ เฮือกหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดเริ่มซับสีแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะคำพูดของอวี้ชิงลั่ว ทั้งยังดูมีกำลังใจขึ้นไม่น้อย
เหมิงกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ หรี่ตาลง หยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างเนิบช้า แย้มยิ้มพูดแทรกบทสนทนาของพวกนาง
“ในเมื่อองค์หญิงกล่าวว่ารักษาได้ เช่นนั้นซูเฟยก็เบาใจได้แล้วกระมัง”
“เพคะ” ซูเฟยพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเก็บอารมณ์ตื่นเต้นเมื่อครู่ กลับเข้าสู่ท่าทางสง่าผ่าเผยอีกครั้ง หมุนกายกลับไปประจำตำแหน่งของตนเอง พร้อมกับทำตัวให้เล็กลงราวกับเป็นอากาศธาตุ
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางสนมจำนวนมากภายในที่แห่งนี้ ล้วนมีท่าทางแฝงด้วยความระมัดระวังเล็ก ๆ ต่อเหมิงกุ้ยเฟยกันทุกคน
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อวี้ชิงลั่วก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาเฉียบคมคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นางจากทางด้านหลัง
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] จวิ้นจู่ (郡主) หมายถึง ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 3 ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาในชินอ๋องกับพระชายาเอก
สารจากผู้แปล
เรื่องการประชันวาจานี่อย่าสู้กับแม่นมเซียวเลยค่ะ จะคนระดับไหนก็สู้ได้หมด
ไหหม่า(海馬)