อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 469 อดีตของนาง
ตอนที่ 469 อดีตของนาง
ตอนที่ 469 อดีตของนาง
“ดูเหมือนว่าเซียวเฟยเหนียงเหนียงจะไม่ได้พูดอะไรเลยเพคะ เพียงแต่สำรวจอวี้ชิงลั่วอย่างเงียบ ๆ แต่ตอนที่หว่านเฟยเหนียงเหนียงเอ่ยถึงซื่อจื่อน้อย สายตากลับดูเหี้ยมโหด”
“เงียบ?” เหมิงกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม คนอย่างเซียวเฟยคิดไม่ถึงว่าจะเงียบเช่นนี้ ผิดปกติไม่น้อย
เฟยเกอยืนอยู่ข้าง ๆ นาง เมื่อเห็นเหมิงกุ้ยเฟยเอาแต่แย้มยิ้มไม่พูดสิ่งใด ภายในใจจึงแอบเกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงถอดกำไลข้อมือออก วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเหมิงกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม กล่าวเสียงเบาว่า “นี่เป็นของที่อวี้ชิงลั่วมอบให้หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร”
เหมิงกุ้ยเฟยเหลือบมองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือเพื่อให้เจี่ยนเซียงนำกำไลมาวางไว้บนมือของนาง
“กำไลชิ้นนี้เป็นของดีเชียวนะ เฟยเกอ”
หน้าผากของเฟยเกอแทบจะมีเหงื่อเย็นผุดออกมาในทันที เสียง ‘ปึก’ ดังขึ้นขณะทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้นในทันที พูดอย่างจงรักภักดีด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “เหนียงเหนียงฉลาดปราดเปรื่อง หม่อมฉันเดาความคิดขององค์หญิงเทียนฝูผู้นั้นไม่ออก ไม่รู้จริง ๆ ว่านางมอบกำไลให้หม่อมฉันเพราะเหตุใด และไม่ทราบว่ากำไลชิ้นนี้ล้ำค่ามากเพียงใดเพคะ”
เหมิงกุ้ยเฟยหัวเราะหนึ่งเสียง “พอแล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ เรายังไม่ได้พูดอะไร เจ้าจะตื่นตระหนกถึงเพียงนั้นไปไย?”
เฟยเกอค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ใช่ เหมิงกุ้ยเฟยยังไม่ได้พูดอะไร แต่นางอยู่ข้างกายเหมิงกุ้ยเฟยมาหลายปีขนาดนั้น ต่อให้นางไม่ได้เข้าใจนิสัยของเหมิงกุ้ยสิบส่วน แต่ก็พอจะเข้าใจเจ็ดถึงแปดส่วน โดยเฉพาะนิสัยขี้สงสัยของเหมิงกุ้ยเฟย
กำไลชิ้นนั้นแม้ว่านางจะหยิบออกมาอย่างเปิดเผย แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของเหมิงกุ้ยเฟยคิดอย่างไร ไม่รู้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยเริ่มระแวงนางหรือไม่เห็นนางเป็นคนของตนเองแล้วหรือไม่
“เอาล่ะ กำไลชิ้นนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ จะใส่หรือไม่ใส่ก็ตามใจเจ้า” เหมิงกุ้ยเฟยโยนกำลังมาบนมือของนาง ก่อนจะยกมุมปากและหลับตาลง สั่งให้เจี่ยนเซียงที่อยู่ข้าง ๆ นวดบ่าเพื่อคลายความปวดเมื่อยอย่างแผ่วเบาต่อไป
เฟยเกอเห็นว่าไม่ได้รับคำสั่งของเหมิงกุ้ยเฟย จึงไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ต่อหรือต้องออกไป ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าคอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ
ส่วนอวี้ชิงลั่วในตอนนี้ กลับตามเค่อเหรินมาถึงตำหนักเซิ่งผิงของซูเฟยแล้ว
แตกต่างจากความใหญ่โตโอ่อ่าของตำหนักอี๋ซิ่ง พื้นที่ของตำหนักเซิ่งผิงเล็กกว่าเล็กน้อย ครั้นก้าวเท้าเข้าประตูตำหนัก กลิ่นยาที่คุ้นเคยพลันแตะเข้าปลายจมูก
อวี้ชิงลั่วดมกลิ่นยาจนชินแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าแม่นมเซียวและหงเย่ที่เดินตามหลังกลับแอบขมวดคิ้วอย่างเงียบ ๆ อาการของซูเฟยผู้นี้ร้ายแรงขนาดไหนกันแน่? คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ทั่วทั้งตำหนักคลุ้งไปด้วยกลิ่นยา
ประตูตำหนักมีนางข้าหลวงยืนรออยู่ทางฝั่งนั้นก่อนหน้านี้แล้ว ครั้นแลเห็นพวกนางมาถึง ใบหน้าพลันเจือด้วยความดีใจเล็ก ๆ รีบก้าวเท้ามาด้านหน้า “หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิงเทียนฝู เหนียงเหนียงกำลังรอองค์หญิงอยู่เพคะ”
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม ก่อนจะก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่
ซูเฟยนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน สีหน้าดูเหนื่อยล้า ราวกับไร้เรี่ยวแรงอย่างยิ่ง ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า จึงลืมตาขึ้นอย่างแผ่วเบา
ถึงกระนั้น ตอนที่ดวงตาคู่นั้นมองเห็นร่างของอวี้ชิงลั่ว ก็ถึงกับเป็นประกายภายในพริบตาเดียว รีบยกตัวคิดอยากจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทว่าเป็นเพราะใช้แรงหนักเกินไป จึงเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ กระตุ้นจนทำให้ซูเฟยรู้สึกโลกหมุน ราวกับฟ้ากำลังจะถล่มลงมาก็มิปาน
เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างของนางก็เซถลาไปด้านหน้าอย่างควบคุมไม่อยู่
อวี้ชิงลั่วรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าสองก้าว ใช้ฝ่ามือประคองแขนของนางไว้ น้ำเสียงแฝงด้วยความเย็นเยียบ “เหนียงเหนียงระวังเพคะ”
ซูเฟยถูกมือของอวี้ชิงลั่วช่วยจับไว้จึงยืนได้อย่างมั่นคง นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ไม่ได้กดทับองค์หญิงใช่หรือไม่ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ร่างกายของเรา เฮ้อ…”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เหนียงเหนียงนั่งลงก่อนเถิด” อวี้ชิงลั่วประคองซูเฟยให้กลับไปนั่งที่อีกครั้ง จากนั้นจึงโบกมือสั่งให้เค่อเหรินยกเก้าอี้มาวางไว้ด้านหลังนาง แล้วนั่งลง “เหนียงเหนียง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้นะเพคะ”
“รบกวนแล้ว” ซูเฟยไม่รอช้า ยื่นข้อมือออกมาเพื่อให้อวี้ชิงลั่ววินิจฉัย
ตอนที่อวี้ชิงลั่วทำงานเป็นช่วงที่นางจริงจังเป็นพิเศษ มุมปากขึงตึงสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าท่าทางเงียบสงบและสุภาพเยือกเย็นเช่นนี้ ทำให้เสน่ห์ของนางเปล่งประกายจนมิอาจละเลยและละสายตาได้
แม้แต่ซูเฟย บัดนี้ก็กำลังมองอวี้ชิงลั่วอยู่ ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นไปด้วย นางรู้สึกได้ว่าการได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ของอวี้ชิงลั่ว ต่อให้เป็นโรคที่ร้ายแรงกว่านี้แต่เมื่ออยู่ในมือของอวี้ชิงลั่วก็มิใช่ปัญหาอะไร สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกสงบเหลือประมาณ
อวี้ชิงลั่วดึงมือกลับ ก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ
ในที่สุดซูเฟยก็ได้สติกลับมา นางเห็นท่าทางของอวี้ชิงลั่วจึงอดส่งเสียงถามมิได้ “องค์หญิง มีจุดไหนที่ทำให้ลำบากใจหรือ? โรคของเรายุ่งยากมากใช่หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าสบตาที่แอบดูกังวลใจของซูเฟย นางรีบแย้มยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “เหนียงเหนียงพอจะให้ทุกคนออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ?”
ครั้นกล่าวเช่นนี้ คนที่อยู่ในห้องล้วนไม่เข้าใจ ซูเฟยเพียงแค่ส่งสายตา นางข้าหลวงที่อยู่ข้างกายจึงโบกมือพร้อมกับพาคนอื่น ๆ ออกไปอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงปิดประตูห้องลง
รอจนกระทั่งภายในที่แห่งนี้ปลอดคน อวี้ชิงลั่วจึงขยับเข้าใกล้อีกเล็กน้อย “เหนียงเหนียงพอจะบอกหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ โรคนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?”
“…” ดวงตาของซูเฟยฉายแววระมัดระวัง สงสัยและระแวงมากขึ้นเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วสอบถามด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งยังแสดงท่าทางเหมือนสนใจโรคของนาง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เอาเถิด บอกเจ้าก็คงไม่เป็นไร”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว เหตุใดเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ถึงได้รู้สึกว่าในนี้มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นเล่า?
“อันที่จริงเมื่อสิบกว่าปีก่อน เราแสดงออกถึงความสามารถมากเกินไป พูดขัดแย้งฮองเฮาโดยไม่คิดไปชั่วขณะหนึ่ง ภายหลังจึงถูกฮ่องเต้สั่งขังเข้าตำหนักเย็น โรคที่อยู่บนตัวก็มาตั้งแต่ปีนั้น สภาพแวดล้อมของตำหนักเย็นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทั้งยังมีนางสนมจิตไม่ปกติอีกจำนวนมาก พวกนางมักคิดหาวิธีเพื่อทรมานคนอื่น ปีนั้น เราเองก็…ได้รับความทรมานเช่นกัน”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต สีหน้าของซูเฟยพลันหดหู่ โดยเฉพาะตอนที่เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองได้รับความทรมานเหล่านั้น อารมณ์แปรปรวนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มือไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้างที่ปล่อยทิ้งข้างลำตัวก็กำเข้าหากันจนแน่น น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นด้วย
“มีครั้งหนึ่ง เราถูกนางสนมจิตไม่ปกติกระทืบเข้าที่หน้าอกหลายครั้ง ตอนนั้นถึงกับกระอักเลือดออกมา ตำหนักเย็นมีนางสนมป่วยก็มิอาจได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะเรียกให้หมอหลวงมาดูอาการ โรคนี้จึงหนักขึ้น ประกอบกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจึงเกิดอาการหนาวสั่น นอนซมอยู่บนเตียงหลายวันกว่าจะลุกขึ้นเดินลงจากเตียงได้ แต่หลังจากนั้นก็มักจะเจ็บหน้าอกอยู่ตลอด บางครั้งก็รู้สึกหัวใจบีบรัด ราวกับว่าอาจ…อาจ…หยุดเต้นได้ทุกเมื่อก็มิปาน”
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จริงด้วย นางสนมในวัง หากมิใช่สถานะที่สูงส่ง ก็จะถูกส่งเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นและเจอจุดจบคือการถูกส่งไปตาย ระหว่างนี้ยังต้องถูกปฏิบัติอย่างทารุณให้ทรมานถึงขั้นสุดอยู่ในตำหนักเย็น อยู่ที่นั่นนานวันเข้า หากไม่ถูกทรมานจนตายก็คงเป็นบ้า
ซูเฟยกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกของตนเองอย่างห้ามไม่อยู่ หอบหายใจช้า ๆ สองครั้งแล้วเอ่ยต่อ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
วังหลังนี่ก็มีความอำมหิตเลือดเย็นอยู่เหมือนกันนะเนี่ย ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไม่ต่างจากโดนทรมานเลย
ไหหม่า(海馬)