อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 470 ไม่สนใจว่าจะช้าหรือเร็ว
ตอนที่ 470 ไม่สนใจว่าจะช้าหรือเร็ว
ตอนที่ 470 ไม่สนใจว่าจะช้าหรือเร็ว
“หลังจากอยู่ในตำหนักเย็นหนึ่งปี ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เรากลับมาอยู่ที่ตำหนักเซิ่งผิง หลังจากนั้นก็เรียกหมอหลวงมาดูอาการ หมอหลวงบอกว่าโรคนี้เรื้อรังมานาน หากจะรักษาให้หายขาดคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่จ่ายยาให้เพื่อทุเลาความเจ็บปวดเท่านั้น”
อวี้ชิงลั่วเม้มปากฟังเงียบ ๆ นางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความลับของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้การที่ซูเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็นด้วยเหตุผลใด และเพราะเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้รับนางกลับออกมาจากตำหนักเย็น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนาง ตอนนี้นางแค่อยากรู้ต้นตอของโรคนี้ว่ามาได้อย่างไรก็พอแล้ว
ครั้นได้ฟังเรื่องเล่าของซูเฟยจนจบ อวี้ชิงลั่วก็เงียบขรึมลงอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงเงยหน้าขึ้น กลับมองซูเฟยด้วยท่าทางอึก ๆ อัก ๆ
“องค์หญิงมีสิ่งใดอยากจะพูดก็พูดออกมาเถิด”
อวี้ชิงลั่วกำลังครุ่นคิดว่านางควรจะบอกความจริงกับอีกฝ่ายดีหรือไม่ หากพูดออกไปคงสมปรารถนาของเหมิงกุ้ยเฟย แต่ถ้าไม่พูดก็เกรงว่าคงสมปรารถนาของผู้อื่น
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งเสียง กล่าวเสียงเนิบช้าว่า “เหนียงเหนียง โรคของท่านไม่ได้มีเพียงโรคเก่าเท่านั้น”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ในร่างกายของเหนียงเหนียงยังมีพิษอีกหนึ่งชนิด เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์อย่างช้า ๆ”
ซูเฟยสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างฉับพลัน ทว่าทันทีที่ลุกขึ้นก็รู้สึกหน้ามืดอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วประคองอีกฝ่าย กดมือของนางให้นั่งกลับลงไปอีกครา “เหนียงเหนียงอย่าตื่นเต้นเกินไปเพคะ เรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกภายในวัง เหนียงเหนียงตกเป็นเป้าโจมตีของคนอื่นก็เป็นเรื่องปกติ พิษนี้ เกรงว่าคงมีคนแอบใส่ให้เหนียงเหนียงในปีที่เหนียงเหนียงอยู่ในตำหนักเย็นเพคะ”
หลังจากซูเฟยออกจากตำหนักเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าไม่มีความจำเป็นแล้ว หรือเป็นเพราะลงมือไม่สะดวก จึงหยุดวางพิษให้นาง
แต่ถึงอย่างไรพิษนี้ก็อยู่ในร่างกาย ทั้งยังทำให้ความเจ็บปวดของซูเฟยรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
ร่างกายของซูเฟยสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งถึงสองเรื่องภายในวัง แต่ปัญหาก็คือ…
“หลายปีมานี้ หมอหลวงมิอาจตรวจพบอาการที่แท้จริงในตัวของเราได้เลย”
อวี้ชิงลั่วลอบยิ้มเยาะ ตอบกลับอย่างขอไปทีหนึ่งประโยคว่า “พิษนี้ถูกวางไว้แบบผิวเผิน หากมิใช่เพราะหมอหลวงมิอาจวินิจฉัยได้ เช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาจงใจปิดบังไว้”
อวี้ชิงลั่วไม่มีทางเชื่อว่าหมอหลวงภายในอาณาจักรเฟิงชางแห่งนี้จะตรวจสอบพิษแค่เล็กน้อยไม่ได้ เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือหมอหลวงทุกคนภายในไท่อีเยวี่ยนที่มาตรวจอาการให้ซูเฟยถูกใครบางคนซื้อตัวไว้แล้ว
นับจากครั้งนั้นที่มีหมอหลวงของเหมิงกุ้ยเฟยมาช่วยดูอาการให้ เกรงว่าคนที่ซื้อตัวก็คงเป็นนาง
ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้เหมิงกุ้ยเฟยถึงได้ยืนกรานเรียกซูเฟยที่ร่างกายไม่แข็งแรงไปตำหนักอี๋ซิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เหมิงกุ้ยเฟยบอกให้อวี้ชิงลั่วช่วยวินิจฉัยให้ซูเฟยต่อหน้าทุกคน อาการของซูเฟยเหมือนกับเย่หลานเฉิงในตอนแรก พวกเขาล้วนได้รับพิษเรื้อรังจากใครบางคนขณะถูกกักขังอยู่ในตำหนักเย็นโดยไม่มีใครดูดำดูดี
ดังนั้น คนที่วางยาพิษให้เย่หลานเฉิงและซูเฟยอาจเป็นคนคนเดียวกัน
เหมิงกุ้ยเฟยคิดจะหยิบยืมมือของอวี้ชิงลั่วเพื่อบอกซูเฟย คิดจะดึงซูเฟยเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในคลื่นพายุลูกนี้
หากพูดเช่นนี้ ซูเฟยก็เป็นคนที่กำลังจะถูกกำจัด…
ไม่สิ เรื่องนี้มิอาจมั่นใจได้ บางทีภายในใจของซูเฟยอาจรู้อยู่แล้วว่าตนเองถูกคนวางยาพิษ และอาจจะรู้ดีด้วยว่าคนที่วางยาพิษผู้นั้นเป็นใคร ทั้งยังยิ่งสงสัยด้วยว่าคนคนนี้คือฮองเฮา ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีแก้แค้นแบบเดียวกับที่ใช้กับเย่หลานเฉิง
ความเป็นไปได้เช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สตรีที่อยู่ในวังหลังแห่งนี้ แต่ละคนไม่ใช่เล่น ๆ เรื่องจริง ๆ
ซูเฟยจะไม่เข้าใจความหมายคำพูดของอวี้ชิงลั่วได้หรือ? เรื่องที่คนเหล่านั้นที่มาดูอาการให้นางถูกซื้อตัวเพื่อปิดซ่อนโรคของนางไว้ ทำให้นางแทบเดือดดาลภายในพริบตาเดียว ดวงตาถึงกับแดงก่ำ
คำพูดประโยคเดียวแทบจะเล็ดหลุดออกมาจากไรฟัน “เหมิงกุ้ยเฟย เจ้าคิดว่าตัวเองจะปิดบังความจริงไว้ได้ด้วยฝ่ามือเดียวกระนั้นรึ”
ครั้นนางกล่าวจบ จู่ ๆ เมื่อตระหนักได้ว่าอวี้ชิงลั่วนั่งยังอยู่ข้าง ๆ มุมปากถึงกับขึงตึง ก่อนจะนั่งลงอีกครั้งอย่างช้า ๆ
“พิษของซูเฟยไม่ใช่ฝีมือของเหมิงกุ้ยเฟย”
“เรารู้” ซูเฟยถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางคลึงหว่างคิ้วด้วยอารมณ์หงุดหงิด นางย่อมรู้ดีว่าคนที่วางยาพิษมิใช่เหมิงกุ้ยเฟย มิเช่นนั้นวันนี้คงไม่ให้อวี้ชิงลั่วจับชีพจรให้นางเพื่อเปิดเผยความจริง
แต่หมอหลวงเหล่านั้นที่บอกว่านางเป็นโรคเก่า ล้วนได้รับคำสั่งจากเหมิงกุ้ยเฟย สิ่งที่ทำให้นางไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อเหมิงกุ้ยเฟยปิดซ่อนมานานหลายปีขนาดนี้ เหตุใดมาในวันนี้กลับเปิดเผยโรคของนาง? เหตุใดถึงได้คิดให้หมอปีศาจช่วยถอนพิษให้นาง? เหมิงกุ้ยเฟยไม่กลัวว่าหลังจากที่ตนเองรู้เรื่องนี้จะลุกขึ้นต่อต้านนางหรืออย่างไรกัน?
ซูเฟยไม่เข้าใจ แต่อวี้ชิงลั่วกลับเข้าใจในสถานการณ์นี้อย่างกระจ่าง
ในเมื่อเหมิงกุ้ยเฟยรู้สถานะของนางแล้ว กอปรกับคราวก่อนที่ซูเฟยแสดงความเป็นมิตรกับนางก่อน นางย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็คงได้รู้สาเหตุโรคของซูเฟย และคงบอกความจริงเรื่องที่นางได้รับพิษในอีกไม่นาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ใช้โอกาสตอนที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ออกหน้าเพื่อสร้างสะพานไว้ตรงกลาง ทำให้ซูเฟยยอมรับในน้ำใจของตนเองจากนั้นก็ถือโอกาสลากซูเฟยลงน้ำไปด้วย เพื่อตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้นว่าเป็นใครไปพร้อม ๆ กัน
ด้วยเหตุนี้ ซูเฟยก็จะจ่อปลายหอกไปยังคนที่วางพิษ
“องค์หญิง พิษของเรา สามารถถอนได้หรือไม่?” หลังจากเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ในที่สุดอารมณ์ของซูเฟยก็ค่อย ๆ สงบลง นางข่มความรำคาญภายในใจของตนเองพลางเงยหน้ามองอวี้ชิงลั่ว
“ถอนได้เพคะ แต่ต้องใช้เวลา”
ซูเฟยแย้มยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น นางถูกทรมานมาหลายปีขนาดนั้น เรื่องแค่นี้ถือว่าไม่ได้มากมายอะไร “องค์หญิงแค่จ่ายยาให้ก็เพียงพอแล้ว เราไม่สนใจว่าระยะเวลาจะช้าหรือเร็ว”
อวี้ชิงลั่วยิ้ม วางแก้วน้ำชาในมือพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะถอดเสื้อผ้าที่ทั้งซับซ้อนและหนักอึ้งบนร่างกาย เหลือเพียงเสื้อกลางสบาย ๆ จากนั้นจึงพับแขนเสื้อขึ้น
ซูเฟยถึงกับมึนงงเพราะการกระทำของนาง กะพริบตาปริบ ๆ ยังไม่ได้สติไปชั่วขณะหนึ่ง โดยเฉพาะตอนที่เห็นนาง…สวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นนี้ ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
จนกระทั่งอวี้ชิงลั่วเกล้าผมขึ้นไปเป็นมวย นางจึงหาเสียงของตนเองกลับมาจนเจอ เอ่ยถามอย่างลังเลว่า “องค์หญิง นี่ท่าน…จะทำอะไรรึ?”
“หม่อมฉันชอบวิธีการที่รวดเร็ว พิษที่อยู่ในตัวของเหนียงเหนียงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งถึงจะถอนออกไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่โรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ก็ควรจะรักษาให้เร็วที่สุดถึงจะเหมาะสม” อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม ก่อนจะเริ่มเปิดกระเป๋าเครื่องมือ หยิบสิ่งที่ดูเหมือนกับถุงออกมาจากด้านในนั้นหนึ่งใบ
ซูเฟยจ้องมองของสิ่งนั้น นางค้นพบว่าอวี้ชิงลั่วได้นำสิ่งนั้นมาสวมลงบนศีรษะของตนเอง ด้วยเหตุนี้ เส้นผมทั้งหมดของนางจึงถูกซ่อนไว้ ทำให้นางดูสะอาดและมีความชำนาญมากยิ่งขึ้น
หลังจากอวี้ชิงลั่วทำเสร็จแล้ว นางจึงเดินไปที่ประตูห้อง เปิดประตูพูดบางอย่างกับแม่นมเซียวที่ยืนอยู่ด้านนอก
ทันทีที่แม่นมเซียวเห็นสภาพของนาง สายตาพลันขรึมลง สีหน้าก็แข็งทื่อตามไปด้วย นางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ทว่าก็ยอมพยักหน้าอย่างนอบน้อมแล้วดึงเค่อเหรินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ออกไป
จากนั้นอวี้ชิงลั่วจึงปิดประตูห้องอีกครั้ง ก้าวเท้าเข้ามาหาซูเฟยทีละก้าวด้วยรอยยิ้ม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในวังหลังช่างซับซ้อน ดูเหมือนจะไม่ได้มีกุ้ยเฟยคนเดียวแล้วที่ร่วมขบวนการนี้
ชิงลั่วจะถอนพิษยังไงน้า
ไหหม่า(海馬)