อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 472 มีเรื่องอยากถามเจ้า
ตอนที่ 472 มีเรื่องอยากถามเจ้า
ตอนที่ 472 มีเรื่องอยากถามเจ้า
อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าซูเฟยจะเตือนนางเช่นนี้
คนที่นางกำลังเอ่ยถึงในคำพูดนี้…คือเหมิงกุ้ยเฟยกระมัง
เหมิงกุ้ยเฟยลำเอียงมากจริง ๆ คนที่อยู่ในวังแห่งนี้แค่เห็นก็รู้ดี ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดเหมิงกุ้ยเฟยถึงได้ลำเอียงเช่นนี้ ท่าทางที่นางมีต่อเย่ซิวตู๋และเย่ฮ่าวถิงช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
อวี้ชิงลั่วพยักหน้าเบา ๆ “ขอบพระทัยซูเฟยเหนียงเหนียงที่กล่าวเตือน หม่อมฉันและท่านอ๋องซิวไม่ใช่คนที่ชอบคนสร้างปัญหา ไม่ค่อยสนใจเรื่องซับซ้อนภายในวัง หากเป็นไปได้คงสู้ได้ออกไปเที่ยวรอบ ๆ อย่างเป็นอิสระไม่ได้ ไม่ต้องสนใจว่าใครลำเอียงไปหาใคร ไม่ต้องสนใจว่าภายในวังซับซ้อนหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่แล้ว รอจนกระทั่งโรคของเหนียงเหนียงหายดี เกรงว่าคงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากอีก หลังจากนี้เหนียงเหนียงนั่นแหละเพคะที่ต้องดูแลตนเองให้มาก”
ซูเฟยถึงกับตกใจ สีหน้าฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย
ตอนที่นางกำลังจะพูดอะไรต่อจากนั้น อวี้ชิงลั่วก็หมุนกายค่อย ๆ ขึ้นเกี้ยว สั่งให้คนเคลื่อนออกจากตำหนักเซิ่งผิงแล้ว
ฝนเหนือชายคาพลันตกเปาะแปะลงมาอีกหน เม็ดฝนเล็ก ๆ แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็ทำให้อากาศชื้นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ซูเฟยยืนที่หน้าประตูอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งแม่นมเหลียงคนสนิทนำเสื้อคลุมมาคลุมให้ นางจึงได้สติกลับคืนมา
“เหนียงเหนียง สุขภาพของท่านยังไม่แข็งแรง เหตุใดถึงมายืนตากลมอยู่ที่นี่เพคะ หากเป็นหวัดขึ้นมา การรักษาในวันนี้มิเท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือเพคะ?” แม่นมเหลียงประคองนางให้เดินกลับมา ครั้นหมุนกายก็รีบปิดประตูลงเพื่อปิดกั้นลมหนาวที่พัดเข้ามาด้านในไม่หยุด
สีหน้าของซูเฟยเคร่งขรึมเล็กน้อย แม่นมเหลียงยกน้ำขิงมาให้นางจิบเพื่อไล่ความหนาว
ซูเฟยทำแค่เพียงจิบหนึ่งคำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
แม่นมเหลียงไม่เข้าใจ “เหนียงเหนียง เมื่อครู่ได้รับการรักษาจากองค์หญิงแล้ว สีหน้าของเหนียงเหนียงก็ดูดีขึ้นไม่น้อย อีกอย่างองค์หญิงก็สัญญาว่า จะช่วยรักษาเหนียงเหนียงให้หาย เหตุใดเหนียงเหนียงกลับดูอารมณ์ไม่ค่อยดี ทำท่าทางไม่มีความสุขล่ะเพคะ?”
“คำพูดเมื่อครู่ เจ้าเองก็ได้ยินแล้วใช่หรือไม่”
แม่นมเหลียงชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบ
“เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร?”
แม่นมเหลียงก้มหน้าลง “หม่อมฉันมิกล้าเดาส่งเดชเพคะ”
ซูเฟยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาเถิด อยู่ต่อหน้าเราเจ้ายังต้องปิดบังไปไย? บนโลกใบนี้ คนที่เราไว้ใจมากที่สุดก็คือเจ้า เราให้เจ้าพูด เจ้าก็พูดมาเถิด”
“เพคะ” แม่นมเหลียงครุ่นคิด จึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “หม่อมฉันคิดว่า ความหมายในคำพูดขององค์หญิง ดูเหมือนว่ากำลังบอกเหนียงเหนียงว่าท่านอ๋องซิวไม่ได้คิดอยากจะเป็นฮ่องเต้เพคะ”
“นั่นสิ” ซูเฟยถอนหายใจแรง ๆ อีกหน “ทั้ง ๆ ที่ท่านอ๋องซิวคือคนที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากที่สุด กลับไม่ไยดีต่อตำแหน่งนั้น”
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเพคะ? ท่านอ๋องซิวไม่คิด เช่นนั้นท่านอ๋องเป่า…”
ซูเฟยส่ายหน้า ยกมือแทรกคำพูดของนาง กล่าวพลางถอนหายใจว่า “ไม่มีใครรู้จักนิสัยของเป่าเอ๋อร์ดีไปกว่าเราอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะอายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง แต่เขากลับเป็นองค์ชายที่ไร้ไหวพริบมากที่สุด หากเขาเป็นท่านอ๋องผู้รักสันติภาพก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล แต่ถ้าไปนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้น เกรงว่าคงนั่งได้เพียงไม่กี่ปี”
แม่นมเหลียงก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงตอบ ทว่าภายในใจกลับเห็นด้วยกับคำพูดของซูเฟย แม้ว่าท่านอ๋องเป่าจะมีความฉลาดปราดเปรื่อง แต่ไหวพริบกลับห่างไกลจากท่านอ๋องซิวอีกมากโข ตำแหน่งนั้นมีองค์ชายจำนวนมากแก่งแย่งกันเพื่อได้มา หากฮ่องเต้พระองค์ถัดไปไม่มีวิธีการที่เหนือกว่า ไม่มีพลังที่จะกดดันผู้คนได้ เกรงว่าเพียงไม่นานก็คงถูกลากให้ลงมาจากตำแหน่ง
ซูเฟยลุกขึ้นยืน สายตาจ้องมองไปที่เม็ดฝนที่ค่อย ๆ หนักขึ้นเรื่อย ๆ ด้านนอกหน้าต่าง ดวงตาดูมืดมน “หากให้ทิ้งความคับข้องใจระหว่างเราและเหมิงกุ้ยเฟย เราเองก็คิดว่าท่านอ๋องซิวคือคนที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นมากที่สุด รัชทายาทโง่เขลา องค์ชายสามผลีผลาม องค์ชายสี่ขาดความกล้าหาญ องค์ชายหกทำตัวราวกับไร้ตัวตน ส่วนองค์ชายเจ็ด…เหอะ ต่อให้ฉลาด เรากลับไม่ได้โปรดปรานเขา ส่วนองค์ชายแปดก็ถือว่ามีความเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่นิสัยของเขาไม่ชอบการผูกมัด ประกอบกับตระกูลทางฝั่งหว่านเฟยมีอำนาจไม่มากพอ ล้วนเป็นผู้รู้หนังสือ ที่คิดว่าตนเองมีจิตใจสูงส่งและดูถูกเหยียดหยามต่อการต่อสู้ องค์ชายเก้าและองค์ชายสิบก็ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร ส่วนองค์ชายสิบเอ็ดอายุยังน้อย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกพี่ ๆ คิดไปคิดมา ก็มีแค่ท่านอ๋องซิวที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
แม่นมเหลียงครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ
หมู่เฟยของท่านอ๋องซิวคือเหมิงกุ้ยเฟย สถานะยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฮ่องเต้โปรดปรานเขามาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องซิวก็เป็นพระโอรสที่มีความฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ เกรงว่าคงทำใจปล่อยเขาไปไม่ได้เช่นกัน
“เหนียงเหนียง เรื่องหลังจากนี้ไว้ค่อยว่ากันเถิดเพคะ ตอนนี้การดูแลร่างกายให้หายดีคือสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งต่าง ๆ ในโลกล้วนคาดเดาได้ยาก ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรนะเพคะ”
ซูเฟยได้ยินเช่นนี้พลันหัวเราะเสียงเบาหนึ่งเสียง “พูดอีกก็ถูกอีก ร่างกายของเราดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว กลับเริ่มเป็นกังวลอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ว่าอย่างไร ก็คงทำได้เพียงแค่รักษาตัวให้ดี คนที่คิดทำร้ายเราสองแม่ลูกเหล่านั้นยังไม่มีโอกาส ให้คนยกอาหารมาเถิด วันนี้เรารู้สึกอยากอาหารไม่น้อย”
บนใบหน้าของแม่นมเหลียงเจือแววดีใจ รีบพยักหน้าและถอยออกไป
ครั้นนางเดินออกไป คนที่อยู่บนหลังคาก็กระโดดลงมาจากด้านบนอย่างรวดเร็ว ครั้นลงมาถึงพื้น ก็รีบปรี่ตัวไปที่ประตูตำหนักโดยไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก
หลังจากมาถึงข้างรถม้าคันนั้นที่อวี้ชิงลั่วนั่งอยู่ จึงกระโดดดีดตัวเบา ๆ ก่อนจะมุดม่านรถเข้ามาด้านใน
“ดูสิเปียกไปทั้งตัวแล้ว เช็ด ๆ หน่อยเถิด” อวี้ชิงลั่วที่นั่งอยู่ในรถโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มให้อีกฝ่าย ส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ “บอกไปแล้วมิใช่รึ ฝนตกไม่ต้องไปฟังหรอก หากเจ้าป่วยขึ้นมา เย่ฮ่าวหรานคงได้มาเอาเรื่องข้าอย่างถึงที่สุด”
จินหลิวหลีรับผ้าเช็ดหน้ามา เดิมทีทำท่าจะกล่าวขอบคุณ ทว่ากลับชะงักเพราะคำพูดเช่นนี้ของอวี้ชิงลั่วจึงเก็บคำขอบคุณกลับไป พลางออกแรงเช็ดหน้าพร้อมกับแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง
อวี้ชิงลั่วพิงเข้ากับพนักพิงบนรถม้าอย่างเกียจคร้าน ครั้นสารถีที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของนาง จึงฟาดแส้พร้อมกับรถม้าที่เคลื่อนตัวไปด้านหน้า
จินหลิวหลีเช็ดหน้าไปพอสมควรแล้ว จึงปาผ้าเช็ดหน้าใส่หน้าของอวี้ชิงลั่วแรง ๆ
อวี้ชิงลั่วยกมือขึ้นมาขวาง หัวเราะคิกคักพลางโยนผ้าเช็ดหน้าไปข้าง ๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาด้วยความสนใจ ถามอีกฝ่ายว่า “ได้ยินอะไรบ้าง?”
“ซูเฟยไม่ได้มีความคิดจะแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ให้ท่านอ๋องเป่า คาดว่าคงไม่คิดจะทำเล่นงานเจ้าและท่านอ๋องซิว”
น้ำเสียงของจินหลิวหลีเย็นชาขึ้น นางรู้สึกหมดคำพูดถึงขีดสุดกับอวี้ชิงลั่วสตรีผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดทั้งวันทว่ากลับเต็มไปด้วยความชั่วร้ายผู้นี้
พวกนางไม่ได้เจอหน้ากันนานเท่าไรแล้ว? ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอหน้ากันสักครั้ง พูดจาดี ๆ สักประโยคก็ไม่มี โกรธแทบตายอยู่แล้ว
อวี้ชิงลั่วลูบคาง นิสัยของซูเฟยผู้นี้นับว่าอ่อนโยน รวมถึงร่างกายของนางที่ไม่แข็งแรง ลำพังแค่สู้กับโรคร้ายตลอดทั้งวันก็เหนื่อยมากพอแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีความคิดอื่น
ทว่าจิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากโรคของนางหายดีนางจะเกิดความคิดอื่นหรือไม่?
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่เรื่องของอาฝูจะไม่เกี่ยวข้องกับซูเฟย
“แล้วเฟยเกอเล่า?” อวี้ชิงลั่วเอ่ยถามอีกหน “หลังจากนางแยกตัวไปจากข้าไปแล้ว คงกลับไปที่ศาลาทางฝั่งนั้นอีกครั้งกระมัง”
“อืม” จินหลิวหลีพยักหน้า ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วชะโงกหน้าเข้ามาตรงหน้าอวี้ชิงลั่ว “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะถามเจ้าอยู่พอดี”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีคนน่าสงสัยหลายคนเลย ปริศนาเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว
ไหหม่า(海馬)