อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 474 นั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้
ตอนที่ 474 นั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้
ตอนที่ 474 นั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้
เย่ซิวตู๋รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจู่ ๆ นางก็ดูตึงเครียดขึ้น จึงขมวดคิ้วพร้อมกับหมุนกายของนางกลับมา “เกิดอะไรขึ้น?”
“หืม? ไม่มีอะไร ก็แค่นึกถึงคนเหล่านั้นที่เจอในวังวันนี้ก็เท่านั้น” ผ้าเช็ดหน้า จะให้เย่ซิวตู๋รู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจถูกเขานำไปทำลายทิ้งอีก
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว ดึงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ “ไปเจอใครมา?”
“ท่านเองก็น่าจะเดาได้แล้วมิใช่รึ?” อวี้ชิงลั่วถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ บุรุษผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่องเหลือประมาณ ปัญหาที่นางคิดได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เย่ซิวตู๋จะคิดไม่ได้
เย่ซิวตู๋มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มสดใส
“เช่นนั้นเจ้าก็ได้เจอคนเหล่านั้นแล้ว ภายในใจมีแผนหรือไม่?”
“เอ่อ ถ้าหากคนที่วางยาพิษให้ซูเฟยและหลานเฉิง รวมถึงบงการอยู่เบื้องหลังของอาฝูเป็นคนเดียวกัน สามารถตัดทิ้งออกไปได้สามคน ฮองเฮา เหมิงกุ้ยเฟยและซูเฟย ส่วนคนอื่น…ข้าไม่ได้เข้าไปคลุกคลีมากมายเท่าไรนัก แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่าสายตาของเซียวเฟยไม่ปกติ”
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด ตอนที่เอ่ยถึงเซียวเฟย นางย่อมนึกถึงสายตาอึมครึมตอนที่หว่านเฟยเอ่ยถึงหนานหนาน
“มีบางเรื่องที่คิดไม่ตก” นางชะงัก คิ้วถึงกับขมวดจนกลายเป็นปม
เย่ซิวตู๋ทำท่าทางราวกับกำลังฟังอย่างตั้งใจ
“เซียวเฟยผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่านางเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮา แต่หลังจากเข้ามาในวัง กลับไม่ได้สนิทกับฮองเฮา กลายเป็นคอยวนเวียนอยู่รอบตัวหว่านเฟยโดยตลอด เพราะเหตุใด?”
เย่ซิวตู๋ตบชายเสื้อ แย้มยิ้มจาง ๆ น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่าคำพูดที่เปล่งออกมากลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกทึ่ง “ตอนที่เซียวเฟยเข้าวังอายุแค่สิบสี่เท่านั้น ตอนนั้นเย่ฮ่าวหรานอายุสิบขวบ ก็ถือว่าแตกหนุ่มแล้ว อีกอย่างอายุของเขาและเซียวเฟยก็ห่างกันไม่มาก เซียวเฟยรู้จักเจ้าแปดมากกว่ารู้จักเสด็จพ่อเสียอีก อืม เจ้าแปดติดตามอยู่ข้างกายหว่านเฟย หว่านเฟยชอบขับร้องบทกลอน เจ้าแปดจึงได้ซึมซับวรรณกรรมมาบางส่วนด้วย ดังนั้นจึงทำให้เขามีความสามารถโดดเด่น เจ้าคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
อวี้ชิงลั่วถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ความ…ความ…ความหมายของเย่ซิวตู๋ก็คือ เซียวเฟยชอบเย่ฮ่าวหราน?
เป็นไปได้อย่างไรกัน? ตอนนั้นเย่ฮ่าวหรานเพิ่งจะอายุสิบขวบเองนะ ต่อให้เซียวเฟยโตกว่าอายุมากกว่านี้ แต่นางก็อายุมากกว่าเขาตั้งสี่ปี ไม่คิดว่าเย่ฮ่าวหรานคือน้องชายของตนเองเลยหรือ?
สตรีอายุสิบสี่ หวั่น…หวั่นไหวกับเด็กที่อายุแค่สิบขวบ?
อวี้ชิงลั่วสะบัดหน้าเพื่อขจัดความคิดไม่ดีออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ นางก็นึกถึงจินหลิวหลี จับมือของเย่ซิวตู๋พลางกระซิบถาม “แล้ว…แล้วเย่ฮ่าวหรานรู้หรือไม่?”
“เจ้าแปดไม่ได้โง่ ต่อให้เซียวเฟยเก็บซ่อนการแสดงออกมากกว่านี้ เรื่องเช่นนี้ก็ต้องสังเกตเห็นอยู่แล้ว แต่มีแค่พวกเราสองคนที่รู้ เสด็จพ่อไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ ส่วนหว่านเฟยจะรู้หรือไม่คงมีแค่ตัวนางเท่านั้นที่จะรู้ดี”
อวี้ชิงลั่วตระหนักขึ้นได้ทันใด มิน่าเล่า หลายปีมานี้เย่ฮ่าวหรานถึงได้ออกไปอยู่ข้างนอกโดยตลอด ทั้งยังกลับเข้าวังน้อยครั้ง จากท่าทางสนิทสนมของเซียวเฟยและหว่านเฟยเช่นนี้ เกรงว่าหากเขากลับเข้าวังก็คงต้องเจอกับสตรีคนหนึ่งที่มีบุตรชายอายุสิบสองขวบคนนั้น
จุ๊ ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เซียวเฟยจะไม่ยอมพูดอะไรหลังจากหว่านเฟยเอ่ยถึงเย่ฮ่าวหราน แต่กลับแสดงท่าทางแปลกประหลาดตอนที่บอกว่าจะให้เย่ฮ่าวหรานแต่งงานกับสตรีสักคนหนึ่ง
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
“อืม เรื่องนี้จะให้จินหลิวหลีรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด” อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด ขบฟันพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เย่ซิวตู๋หลุดขำ จินหลิวหลีรู้แล้วจะทำไม? เจ้าแปดไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นกับเซียวเฟยสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของเซียวเฟยในตอนนี้ก็ถือเป็นผู้อาวุโสของเจ้าแปด ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็มิอาจเดินไปด้วยกันได้
ทว่าอวี้ชิงลั่วกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ บนโลกใบนี้ต่อให้เป็นเรื่องประหลาดมากกว่านี้ก็ยังมี นับตั้งแต่โบราณกาล เรื่องที่แม่เลี้ยงคิดไม่ซื่อกับลูกเลี้ยงจนตกลงอยู่ด้วยกันใช่ว่าไม่เคยมี เรื่องที่พ่อแย่งลูกสะใภ้ก็มีให้เห็นไม่น้อย หากเซียวเฟยมีความคิดที่ไม่อยากจะสนใจสิ่งใดจริง ๆ เช่นนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากมิใช่หรือ?
อวี้ชิงลั่วคิดว่าเรื่องในวันนี้ทำให้นางรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่แปลกใจเลยเพราะตอนนี้เย่ฮ่าวหรานเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามแล้ว ดูจากรูปร่างหน้าตาของเขาในตอนนี้ ตอนเด็ก ๆ ก็คงดูดีมากเช่นกัน สตรีที่เขามาในวังตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างเซียวเฟยที่เห็นบุรุษมาไม่มาก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตกหลุมรักเขา
เพียงแต่…
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น หันหน้ามาพร้อมกับจับคอเสื้อของเย่ซิวตู๋ หรี่ตาถามเขาว่า “ท่านคงไม่ได้มีเรื่อง…เรื่อง…แอบรักใครเช่นนี้หรอกกระมัง?”
“…” เย่ซิวตู๋หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จินตนาการของนางโลดแล่นเกินไปแล้ว เหตุใดเพียงชั่วครู่กลับโยงมาถึงตัวเขาได้?
เย่ซิวตู๋รีบยกมือขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเหลือประมาณ “ไม่มี ไม่มีเด็ดขาด”
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่งพลางแค่นเสียงเย็น ไม่มีสิถึงจะแปลก เย่ซิวตู๋หน้าตาดียิ่งกว่าเย่ฮ่าวหราน ทั้งยังเปล่งประกายไปด้วยพลัง นอกจากเรื่องที่เขาทำตัวเย็นชาต่อหน้าคนอื่นไปสักหน่อย ทั่วทั้งร่างกายของเขาล้วนเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบ คนที่แอบรักและรักเขาอย่างเปิดเผยย่อมตั้งแถวยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้
แต่ไม่ว่าจะเรียงแถวไปจนถึงขั้นไหน ขอแค่ไม่มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางก็พอ มิเช่นนั้นก็จะได้เจอกับจุดจบอย่างหลิ่วเซียงเซียง
“เอาเถอะ หิวแล้ว กินข้าว” อวี้ชิงลั่วแอบเหลือบมองเขาอีกครั้งปราดหนึ่ง ก่อนหมุนกายเดินออกจากห้องไป
ฝนที่อยู่ด้านนอกเป็นอย่างที่อวี้ชิงลั่วคาดการณ์ไว้จริง ๆ เพราะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
วันพรุ่งก็คงมีสภาพอาการเหมือนอย่างตอนนี้ ดูเหมือนว่าการแข่งวรยุทธ์คงต้องถูกเลื่อนออกไปอีก
ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้ใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศช่วงนี้เพื่อเข้าวังไปตรวจให้เซียวเฟย ถือโอกาส…เข้าใจถึงที่มาที่ไปของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นด้วย
อวี้ชิงลั่วยื่นมือจับแขนเสื้อจนแน่น สีหน้าดูตึงเครียดหลายส่วน
ตอนที่เข้ามาในโถงบุปผา ข้างหูกลับได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่คุ้นเคย
อวี้ชิงลั่วเก็บอารมณ์ความรู้สึก หันสบตากับเย่ซิวตู๋อย่างห้ามไม่อยู่ แล้วรีบเดินเข้าไปด้านใน
ครั้นช้อนสายตาขึ้นก็พบว่าหนานหนานกำลังตบบ่าอวี้เป่าเอ๋อร์ไปพลาง ปลอบใจเขาไปพลาง “พอแล้ว ๆ ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่เป็นไรหรอก บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ผ่านไปไม่ได้ พวกเราต้องมองโลกในแง่ดีนะเข้าใจหรือไม่? ร้องไห้ไปก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ท่านต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้อย่างลึกซึ้งนะ”
“แต่…แต่ว่า…” อวี้เป่าเอ๋อร์สะอึกสะอื้น การแสดงออกทางสีหน้าช่างดูน่าสงสาร มีความเศร้าที่พูดไม่ออก
หนานหนานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มือเล็ก ๆ ประคองแก้มของอวี้เป่าเอ๋อร์พร้อมกับดันศีรษะของอีกฝ่ายให้เงยขึ้น “พอแล้ว มา ยิ้มกับข้านะ เฉียจื่อ[1]”
อวี้เป่าเอ๋อร์มุมปากกระตุกวูบ นี่มันใช่เวลารึ เจ้าเด็กบ้าหนานหนานยังมีกะจิตกะใจจะเล่นอีก
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบเด็กผู้ชายขี้ร้อง ถึงอย่างไรอวี้เป่าเอ๋อร์ก็ได้รับการฝึกฝนมาน้อยเกินไป บางที เขาควรปรึกษากับชิงเอ๋อร์เพื่อส่งอวี้เป่าเอ๋อร์ออกไปฝึกซ้อมสักหน่อยแล้วค่อยกลับมา
“เกิดอะไรขึ้น?” อวี้ชิงลั่วก้าวเท้ามาด้านหน้าสองสามก้าว มองเด็กสามคนที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะอาหาร
อวี้เป่าเอ๋อร์เงยหน้าพร้อมกับส่งเสียงสะอึก “ท่านพี่…” เพิ่งส่งเสียงเรียก ดวงตาของเขาก็กลับมาแดงก่ำอีกครั้งในทันที
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ ดูเหมือนว่าหากให้เขาเล่าให้ฟังก็คงเล่าได้ไม่ชัดเจนนางจึงเบือนสายตาไปที่เย่หลานเฉิงซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ทว่าเย่หลานเฉิงกลับเบิกตาโตอย่างไร้เดียงสา ส่ายหน้าเพื่อแสดงออกว่าเขาเองก็สงสัยอย่างมากเช่นกัน
อวี้ชิงลั่วหันไปมองหนานหนานอีกครั้ง หนานหนานจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องนี้ หากให้เล่าคงยาว วันนี้ข้ากลับมาค่อนข้างสาย หลังจากที่กลับมาก็เห็นท่านน้าเป่าเอ๋อร์นั่งหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้แล้ว…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
[1] เฉียจื่อ หากแปลตรงตัวคือ มะเขือยาว เวลาที่คนจีนถ่ายรูปมักจะพูดว่า ‘เฉียจื่อ’ เพราะเวลาที่เปล่งเสียงจะช่วยให้ริมฝีปากแย้มออกเหมือนกำลังยิ้ม
สารจากผู้แปล
คดีพลิกมาก เอ่อ ไม่กลัวไอดังคุกๆๆ เหรอเซียวเฟย
ไปๆ มาๆ กลายเป็นเข้าตัวเองซะงั้นท่านอ๋อง ๕๕๕
เป่าเอ๋อร์เจอเรื่องเศร้าอะไรหนอ
ไหหม่า(海馬)