อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 476 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย
ตอนที่ 476 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย
ตอนที่ 476 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนานหนานจึงพูดคำพูดที่ตนเองคิดว่าตรงประเด็นอย่างมาก “ท่านแม่ ท่านไปดูสักหน่อยเถิด ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็เป็นท่านตาของข้านะ”
อืม แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้รู้จักมักจี่จะท่านตาผู้นี้มาก่อน และไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับท่านตาผู้นี้เลย
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากไม่มีท่านตาก็ไม่มีท่านแม่ ไม่มีท่านแม่ก็ไม่มีหนานหนาน
อวี้ชิงลั่วถึงกับร่างกายสั่นสะท้านรุนแรง จริงด้วย เขาคือท่านตาแท้ ๆ ของหนานหนาน แม้นางจะไม่ใช่อวี้ชิงลั่วตัวจริง แม้นางจะรู้สึกเกลียดอวี๋เจี้ยนต๋าอย่างมาก แต่เขาก็เป็นพ่อของเจ้าของร่างเดิม
ในเมื่อนางต้องใช้ร่างของเจ้าของร่างเดิมเพื่อมีชีวิตต่อไป เช่นนั้นนางก็ควรจะจะมีน้ำใจต่อคนในครอบครัวของนางสักหน่อยมิใช่รึ?
แม้ว่าเมื่อหกปีก่อนอวี้เจี้ยนต๋าจะปฏิเสธให้การช่วยเหลือเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็มิอาจมั่นใจได้ว่าอวี้ชิงลั่วตัวจริงเกลียดพ่อคนนี้ของนางหรือไม่
อวี้ชิงลั่วแอบรู้สึกปวดหัว ทั้งยังเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดตามตรง นางไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลอวี้อีกแล้วจริง ๆ
แขนเสื้อที่อยู่ข้างลำตัวถูกดึงเบา ๆ นางหลุบตาลงจึงเห็นสายตาที่ดูกระสับกระส่ายของอวี้เป่าเอ๋อร์ ภายในใจถึงกับแอบถอนหายใจ พูดด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรงว่า “ก็ได้ แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ วันพรุ่งข้าจะไปดูอาการเขาพร้อมกับเจ้า”
“…อื้อ” ในที่สุดบนใบหน้าของอวี้เป่าเอ๋อร์ก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาเชื่ออวี้ชิงลั่ว เชื่อใจนางอย่างมาก
เขาคิดว่าอวี้ชิงลั่วในตอนนี้ทำได้ทุกสิ่งอย่าง ขอแค่นางตอบตกลงก็ไม่มีเรื่องใดที่แก้ปัญหาไม่ได้ โรคของท่านพ่อต้องรักษาจนหาย ต้องหายดีเป็นแน่
สีหน้าของเย่ซิวตู๋ดูไม่เป็นมิตร ใบหน้าเคร่งขรึมพลางตวาดเสียงเย็น “กินข้าว”
อวี้เป่าเอ๋อร์หดคอ ริมฝีปากสั่นระริก เขารู้ดีว่าท่านอ๋องซิวไม่พอใจ ก็ถูก คราวก่อนตระกูลอวี้ต่างก็ยืนยันตัวตนของท่านพี่ภายในท้องพระโรง ท่านอ๋องซิวรู้สึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องปกติ
ทว่า ก็แค่ครั้งนี้ หลังจากช่วยท่านพ่อในครั้งนี้ เขาจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับตระกูลอวี้อีกแล้ว
หนานหนานมองท่านพ่อของตนเองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงถอนหายใจราวกับเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ท่านพ่อกับท่านแม่มีความเห็นไม่ตรงกัน ข้าในฐานะลูกชาย จะเลือกซ้ายหรือขวาก็ลำบากใจมากเช่นกัน”
เย่ซิวตู๋ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกภายในชั่วพริบตา ถลึงตามองหนานหนานปราดหนึ่ง ในที่สุดสีหน้าก็ดูผ่อนคลายลง
เขาจึงยกตะเกียบขึ้นมาคีบขนมเปี๊ยะชิ้นเล็กให้อวี้ชิงลั่วหนึ่งชิ้น กล่าวกำชับเสียงเบาว่า “วันพรุ่งพาจินหลิวหลีไปด้วย”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ สองแม่ลูกตระกูลอวี้ไม่ได้มีวรยุทธ์ บ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว นางจะไม่มีปัญญาปกป้องตัวเองเลยหรือ?
แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเขา นางจึงไหวไหล่และไม่ได้ต่อต้าน
หนานหนานก็อยากไปเช่นกัน แต่เขากับท่านปู่ลู่นัดกันแล้ว เช้าวันพรุ่งต้องไปเจอกัน
น่าเสียดายที่เขาไปด้วยไม่ได้ เรียนวรยุทธ์ก็เป็นการใช้พละกำลังเช่นกัน อืม ดังนั้นเขาต้องกินเยอะ ๆ และบำรุงร่างกายให้ดี เด็กเล็กต้องใช้พลังมาก เขาจะปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบไม่ได้
ดังนั้น หลังจากที่กินข้าวไปสองถ้วยและบะหมี่อีกหนึ่งถ้วย หนานหนานจึงขอให้เยว่ซินนำขนมมาอีกสามชิ้นและขนมเปี๊ยะชิ้นเล็กอีกสองสามอย่าง ท่าทางตะกละตะกลามนั้นทำให้อวี้ชิงลั่วรู้สึกแทบไม่อยากอาหารเลย
กินเก่งเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ไหวจริง ๆ สมบัติในตระกูลคงต้องนำไปให้เขากินจนหมดเกลี้ยง
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลง ครุ่นคิดว่าควรลดอาหารการกินของหนานหนานดีหรือไม่?
อวี้ชิงลั่วที่นั่งอยู่ทางฝั่งนี้มีดวงตาเป็นประกาย ส่วนหนานหนานทางฝั่งนั้นกินอย่างเพลิดเพลิน คนอื่น ๆ กลับเงียบขรึมด้วยความเงียบสงบเป็นอย่างมาก หลังจากกินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกลับห้องของตนเองอย่างเงียบ ๆ
อวี้ชิงลั่วไปดูอาการของเหวินเทียน หลังจากได้ยินว่าเขายอมพักฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกายอย่างเชื่อฟัง จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วกลับเข้าห้องของตนเอง
เย่ซิวตู๋ยังไม่กลับมา เยว่ซินบอกว่าเขาไปคุยกับเสิ่นอิงและคนอื่น ๆ ภายในห้องตำราอีกครั้งแล้ว คาดว่าคงใช้เวลาครู่ใหญ่จึงให้นางเข้านอนไปก่อน
อวี้ชิงลั่วจะหลับลงได้อย่างไรกัน ในเมื่อเย่ซิวตู๋จะไม่ปรากฏตัวออกมาช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนั้น…
นางควานหาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ก่อนจะยกเชิงเทียนมาตรงหน้า จากนั้นกวักมือเรียกเยว่ซินที่กำลังปูที่นอนให้เดินเข้ามา พร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าไปที่ฝ่ามือของนาง
“เจ้าดูสิ ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นของแม่นมเก๋อในตอนแรก มีลวดลายเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เมื่อครู่นางได้ลองเทียบดูแล้ว แม้ว่างานเย็บปักที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นของแม่นมเก๋อจะถูกเย่ซิวตู๋ทำลายไปแล้ว แต่ขนาดของลายปักใหม่ที่อยู่ด้านบนมีความคล้ายคลึงกับผ้าที่อยู่ในมือผืนนี้
หมายความว่า ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของแม่นมเก๋อ ลวดลายเดิมก็มีขนาดเช่นนี้
เยว่ซินชะงักไปครู่หนึ่ง เอียงศีรษะชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ ๆ เชิงเทียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ถูกต้อง ๆ คุณหนู เหมือนกับผืนนี้เลยเจ้าค่ะ เพียงแต่…เพียงแต่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ดูเหมือนจะไม่มีตัวอักษรนี้นะเจ้าคะ”
เยว่ซินชี้ไปที่มุมเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างลวดลายนั้น เป็นตัวอักษรหนึ่งตัวที่บางมาก เป็นลักษณะการใช้ด้ายดำเย็บสองสามครั้ง
ด้านบนมีอักษรเพียงตัวเดียว ‘三 (สาม)’
สาม? หมายความว่าอย่างไร?
บนผ้าเช็ดหน้าของแม่นมเก๋อไม่มีตัวอักษรนี้ หรือแม่นมเก๋อเป็นเลาะทิ้งออกไป? หรือว่าเผลอทำลายโดยไม่ทันได้ระมัดระวัง? หรือว่า…เดิมทีไม่ได้ปักอยู่บนนั้น?
อวี้ชิงลั่วไม่เข้าใจ แต่ก็มั่นใจได้ว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่แม่นมเก๋อ…จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหมิงกุ้ยเฟย ต่อให้ไม่ได้เกี่ยวข้อง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนในวังแห่งนี้
อวี้ชิงลั่วทึ้งเส้นผม นางรู้สึกได้ว่าเรื่องราวเริ่มซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว สถานะของแม่นมเก๋อคืออะไรกันแน่ นางหายไปอย่างฉับพลัน…เป็นเพราะเจออันตราย หรือว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับวังของอาณาจักรเฟิงชางแห่งนี้?
อวี้ชิงลั่วคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้น
นางถึงกับตกใจ บอกว่าจะกลับมาช้ามิใช่รึ? ให้ตายเถิด นางรีบเก็บผ้าเช็ดหน้าให้เรียบร้อย สั่งกำชับกับเยว่ซินว่า “เรื่องนี้ห้ามบอกใคร จำไว้ แม้แต่โม่เสียนก็บอกไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
เยว่ซินรีบยกมือขึ้นมาปิดปาก ออกแรงพยักหน้าหงึก ๆ
เสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น ตอนที่เยว่ซินพยักหน้า ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกอย่างช้า ๆ
เย่ซิวตู๋เห็นฉากภายในห้องจึงชะงักไปครู่หนึ่ง “อะไรกัน พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องใด?” สีหน้าชองเยว่ซิน…เหตุใดถึงได้ดูผิดปกติ?
อวี้ชิงลั่วหันไปส่งสายตาให้เยว่ซิน อีกฝ่ายถอนสายบัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
อวี้ชิงลั่วยืดแขนบิดขี้เกียจ เหล่สายตามองเขาปราดหนึ่ง “พวกเรากำลังคุยกันว่ากลับจวนอวี้ในวันพรุ่งจะพาเยว่ซินกลับไปด้วยดีหรือไม่ สาวใช้คนนั้นยังมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ในจวนอวี้อีกหนึ่งคน พวกนางไม่ได้ติดต่อและเจอหน้ากันมานานมากแล้ว”
“ไม่ต้องพาไปหรอก” เย่ซิวตู๋ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงภายในห้อง “เรื่องของตระกูลอวี้วุ่นวายเกินไป หากไม่ติดต่อได้ก็อย่าได้ติดต่อกัน ในเมื่อไม่ได้เจอหน้ากันหลายปีขนาดนั้น ย่อมเกิดความรู้สึกเหินห่าง ไม่เจอหน้าย่อมทำให้ความวุ่นวายลดลงไม่น้อย”
อวี้ชิงลั่วมองการเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติเช่นนี้ของเขา จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดอยากจะโหม่งกำแพงเสียเหลือเกิน
นางส่งเสียง ‘อืม’ เบา ๆ หนึ่งเสียง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
ด้วยเหตุนี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ชิงลั่วจึงพาอวี้เป่าเอ๋อร์และจินหลิวหลีไปที่จวนอวี้เพียงสองคน เพื่อดูอาการของ…บิดา…ผู้ที่ว่ากันว่าชีวิตกำลังแขวนบนเส้นด้าย
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อยู่ดีๆ พ่อชิงลั่วก็ป่วย เพราะอะไรกันนะ หรือเป็นเพราะสองแม่ลูกเฉินจีซินนั่น
ไหหม่า(海馬)