อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 477 เลิกโวยวายเสียที
ตอนที่ 477 เลิกโวยวายเสียที
ตอนที่ 477 เลิกโวยวายเสียที
บรรยากาศภายในจวนอวี้ค่อนข้างหดหู่ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้ชิงลั่วก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในจวนอวี้
ครั้นคนรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูเห็นนาง แรกเริ่มก็ถึงกับตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่าง แม้จะได้ยินฮูหยินและคุณหนูพูดถึงในตอนแรกแล้วว่าคุณหนูใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงอย่างไรภายในใจของพวกเขาต่างคิดว่านางคือคนที่ตายไปแล้วเมื่อหกปีก่อน การปรากฏตัวอย่างฉับพลันเช่นนี้ทำให้พวกเขารับไม่ไหวจริง ๆ
ด้วยเหตุนี้ คนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูจึงไม่ได้ขวางไว้ แต่กลับวิ่งกลับเข้าไปด้านในเพื่อรายงาน
เพียงไม่นาน ก็พบเฉินจีซินพาอวี้ชิงโหรวรีบวิ่งออกมา เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วพวกนางถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับการมาเยือนของนางเท่าไรนัก
เฉินจีซินพูดด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “เจ้ามาทำอะไร?”
เมื่อไม่เห็นแม่นมเซียว ความกล้าของเฉินจีซินจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ถูกตบเมื่อคราวก่อนยังบวมเป่ง แม้จะไม่สาหัสแล้ว แต่กลับทำให้นางขายหน้าอย่างมาก และทำให้นางอายมากด้วย
อวี้ชิงโหรวมองนางด้วยสายตาโกรธแค้น สีหน้าช่างดูเย็นชา
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองพวกนางปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าพูดกับอวี้เป่าเอ๋อร์โดยไม่สนใจพวกนาง “นำทาง”
อวี้เป่าเอ๋อร์ช้อนสายตาเหลือบมองสองแม่ลูกเฉินจีซินปราดหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร นำทางอวี้ชิงลั่วและจินหลิวหลีไปที่เรือนของอวี้เจี้ยนต๋า
เฉินจีซินเห็นเช่นนี้ ความโกรธที่สุมอยู่กลางอกก็เริ่มแผดเผาทันใด
“หยุดเดี๋ยวนี้ ใครอนุญาตให้เจ้าเข้าไป?” นางรีบปรี่ตัวไปด้านหน้าเพื่อขวางทั้งสามคนไว้ หันหน้าตวาดเสียงดังใส่บ่าวรับใช้ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ “มัวยืนค้างอะไรอยู่ตรงนั้น? พวกเจ้าตายกันหมดแล้วรึ? พวกนางบุกรุกเข้ามาในจวนกลับไม่มีปัญญาขัดขวาง?”
ทุกคนได้สติกลับมา จึงรีบเข้ามาด้านหน้าห้อมล้อมทั้งสามคนไว้ตรงกลาง ทว่ากลับไม่มีใครไปแตะตัวอวี้ชิงลั่วแม้แต่น้อย
อวี้ชิงลั่วถึงกับหลุดขำ “เฉินจีซิน เจ้าลืมสถานะองค์หญิงของเราไปแล้วรึ? หรือคิดจะให้องค์หญิงอย่างเราตบหน้าเจ้าอีกสักสิบยี่สิบที?”
ครั้นได้ยินคำว่าองค์หญิงสองคำนี้ เฉินจีซินถึงกับเนื้อตัวสั่นเทา จริงสิ นางคือองค์หญิง องค์หญิงที่สามารถปิดทุกอย่างด้วยฝ่ามือเดียวได้แล้ว
ทว่า…
“องค์หญิง องค์หญิงแล้วอย่างไร? องค์หญิงสามารถบุกรุกเข้าจวนของผู้อื่นตามใจชอบงั้นรึ? เรื่องนี้หากไปกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ข้าย่อมมีเหตุผล”
แหม คิดไม่ถึงเลยว่าจะเอ่ยถึงฝ่าบาทเสียด้วย ตอนนี้เฉินจีซินกล้าหาญหรือคิดจะเสี่ยงกันแน่?
อวี้เป่าเอ๋อร์ทนไม่ไหว ก้าวเท้าไปด้านหน้าพลางกล่าวด้วยความโกรธเคือง “ท่านพี่ของข้ามาเพื่อดูอาการของท่านพ่อ ไม่ได้เข้ามาสร้างปัญหา ข้ายังเป็นนายน้อยของจวนแห่งนี้ ข้ามีสิทธิ์เชิญหมอผู้มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูงมาตรวจโรคให้ท่านพ่อ”
เฉินจีซินโกรธจนนิ้วมือสั่นระริก เจ้าอวี้เป่าเอ๋อร์ นับวันยิ่งทำตัวกำเริบเสิบสานมากขึ้นทุกทีแล้ว นายน้อย? ยังมีหน้ามาพูดว่าตนเองคือนายน้อยของจวนอวี้อีกรึ?
เฉินจีซินอยากระเบิดอารมณ์ ทว่าตอนที่กำลังจะปริปากด่า แขนเสื้อของนางกลับถูกอวี้ชิงโหรวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดึงไว้
อวี้ชิงโหรวส่ายหน้าให้นางเบา ๆ “ท่านแม่ พอเถิด ตอนนี้ร่างกายของท่านพ่อสำคัญยิ่งกว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อ…พวกเรา คงไม่เหลืออะไรจริง ๆ”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าอวี้ชิงโหรวจะมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งกว่า ถือว่าเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เป็นอย่างดี รู้ว่าอวี้เจี้ยนต๋าคือที่พึ่งพาเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้ หากเขาล้มสักคน ก็จะเหลือแค่พวกนางสองคนที่เป็นเด็กกำพร้าและแม่หม้าย ชีวิตต่อจากนี้คงลำเค็ญ
เฉินจีซินไม่เต็มใจนัก แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้คนที่ช่วยชุบชีวิตของสามีนางให้กลับคืนมาได้มากที่สุดก็คืออวี้ชิงลั่ว
นางเม้มปากพลางกระทืบเท้าแรง ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่คนรับใช้ที่ขวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับตวาดด้วยความโกรธ “หูหนวกหรืออย่างไรกัน? ไม่ได้ยินที่คุณหนูพูดรึ? หลีกไป หลีกไปให้หมด”
เหล่าคนรับใช้ไม่กล้าโกรธและไม่กล้าพูดอะไร ทว่ากลับทยอยถอยหลังออกไปให้ห่างหลายก้าว เพื่อหลีกทางให้อวี้ชิงลั่ว
อวี้เป่าเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบนำอวี้ชิงลั่วไปที่เรือนของอวี้เจี้ยนต๋า
อวี้เจี้ยนต๋าอยู่ในสภาพป่วยระยะสุดท้ายแล้ว เบ้าตาลึกโหลและขอบตาดำคล้ำจนเห็นได้อย่างชัดเจน หายใจหอบถี่อย่างหนัก ราวกับคนที่กำลังใกล้จะตาย ร่างกายกระตุกสองหนเป็นครั้งคราว ริมฝีปากเป็นสีเขียวอมม่วง ใบหน้าขาวซีด แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกได้ว่าน่ากลัวยิ่งนัก
อวี้เป่าเอ๋อร์คุกเข่าลงข้างขอบเตียงเพราะทนไม่ไหว ก่อนจะจับมือของอวี้เจี้ยนต๋าเบา ๆ
อวี้ชิงลั่วถึงกับขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เหตุใดถึงได้ร้ายแรงเช่นนี้?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อวี้ชิงลั่วหันไปมองเฉินจีซิน
เฉินจีซินแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียงพลางเบือนหน้าไปทางอื่น อวี้ชิงโหรวจึงรีบตอบอย่างชาญฉลาด “หลังจากท่านพ่อกลับมาจากท้องพระโรงวันนั้น ก็ทรุดลงภายในชั่วพริบตา ไข้ขึ้นสูงทั้งคืน คิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถแต่ไข้ก็ไม่ลดลง ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะเชิญให้หมอมาตรวจและดื่มยาเข้าไปสองถ้วย อุณหภูมิในร่างกายจึงลดลงเล็กน้อย แต่หลังจากท่านพ่ออาการดีขึ้นจากไข้ขึ้นสูง ก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน กินอะไรไม่ลง กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด พอเป็นติดต่อกันหลายวันจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ หมอเก่ง ๆ ในเมืองหลวงก็เชิญมาหมดแล้ว ล้วนบอกว่าจนปัญญารักษา เพราะมองไม่ออกว่าเป็นโรคอะไรจึงรักษาไม่ได้”
เฉินจีซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง “หากไม่ใช่เพราะใครบางคนทำตัวเย่อหยิ่งเกินไป มีสถานะเลิศเลอจนลืมบรรพบุรุษ แม้แต่พ่อแม่ของตนเองก็ไม่ยอมรับ นายท่านถึงได้เศร้าโศกและผิดหวัง เหอะ อวี้ชิงลั่ว หากเจ้ายังรู้จักผิดชอบชั่วดีสักหน่อย เช่นนั้นก็ยอมรับพ่อคนนี้ ยอมรับผิดต่อบรรพบุรุษซะ”
อวี้เป่าเอ๋อร์ถึงกับโกรธเคือง “ข้าบอกไปแล้ว ท่านพี่ของข้า…”
“อวี้เป่าเอ๋อร์ พ่อของเจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว เจ้ายังอยากให้พ่อของเจ้าปวดใจอีกรึ? เจ้ายังอยากกระตุ้นให้โรคของเขาหนักขึ้นอีกรึ?” เฉินจีซินไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด นางขึ้นเสียงเพื่อพูดแทรก หลังจากชะงักไป จู่ ๆ ก็ยกมุมปากยิ้มเยาะขึ้นอีกครั้ง “อ๋อ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว ตระกูลอวี้ของเราตำแหน่งต้อยต่ำคำพูดไร้ค่า มิอาจปีนป่ายเจ้าได้แล้ว ถูกต้องหรือไม่?”
อวี้เป่าเอ๋อร์ถึงกับโกรธจนตัวสั่น เฉินจีซินเดิมทีก็ตั้งใจจะสร้างความลำบากใจอยู่แล้ว คนที่ทำให้ท่านพ่อปวดใจคือนางชัด ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีหน้ามาก่นด่าผู้อื่นที่นี่
มือของอวี้ชิงลั่ววางลงบนแขนของอวี้เป่าเอ๋อร์ กดลงเบา ๆ ไม่ให้เขาผลีผลาม
“เฉินจีซิน ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของเป่าเอ๋อร์ในตอนนี้แล้ว กลับยังพูดจาท้าทายเช่นนี้อีก อะไรกัน คราวก่อนตอนที่อยู่ในท้องพระโรงยังตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ตอนนี้กลับไม่กลัวแล้วรึ?”
เมื่ออวี้ชิงลั่วพูดเช่นนี้ เฉินจีซินก็ถึงกับหนาวสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่
พูดตามตรง เรื่องในครั้งก่อนทำให้นางกลัวจริง ๆ ความเจ็บแปลบอันคมชัด จนกระทั่งวันนี้นางยังรู้สึกได้ว่ายังประทับอยู่บนใบหน้า ทำให้นางฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้า…ข้าท้าทายตรงไหนกัน ข้าก็แค่พูดความจริง” นางถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวอย่างเงียบ ๆ ทว่ายังคงทำเป็นปากแข็งไม่ยอมแพ้ ระหว่างที่พูดยังถลึงตามองอวี้เป่าเอ๋อร์ด้วย
อวี้เป่าเอ๋อร์ทำราวกับมองไม่เห็น ถึงอย่างไรก็เป็นเหมือนกับที่หนานหนานพูดไว้ จ้องมองไปก็ไม่ได้ทำให้เนื้อหายไป ถ้าจะเจ็บก็มีแต่ลูกตาของนางนั่นแหละที่เจ็บ
“เลิกโวยวายเสียที” ตอนที่ทุกคนกำลังเกิดความคิดที่แตกต่างกันภายในใจ เสียงเบาที่ฟังดูทุ้มต่ำพลันดังขึ้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใต้เท้าอวี้อาการหนักแบบนี้เป็นเพราะโดนสองแม่ลูกนี่ยุยงจนอาการทรุดหรือเปล่าเนี่ย
ไหหม่า(海馬)