อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 481 พวกท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่
ตอนที่ 481 พวกท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่?
ตอนที่ 481 พวกท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่?
เงาทั้งสองดูค่อนข้างสูงยาว เพียงแต่เงาที่เดินนำออกมาด้านหน้าด้วยท่าทางกระตือรือร้นมีรูปร่างท้วมเล็กน้อย
ส่วนบุรุษที่เดินตามหลังผู้นั้นกลับดูมีกริยางดงาม การย่างก้าวเป็นไปอย่างมั่นคงเหมาะสม ท่าทางก็ดูสง่างาม เพียงแต่บนใบหน้ากลับปรากฏความกังวลใจ ดวงตาที่งดงามคู่นั้นกลับดูมืดมิดทั้งยังแฝงด้วยความจนปัญญาเล็ก ๆ ขณะมองมาที่อวี้ชิงลั่ว
อวี้เป่าเอ๋อร์ถึงกับชะงักไปทั้งตัว เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเงอะงะ มองไปยังคนสองคนที่ปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลัน มุมปากเผยอออกเล็กน้อย “ท่าน…ท่านอ๋องสาม เสนาบดีฝั่งขวา”
องค์ชายสามเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง หลังจากก้าวเท้าออกมาจากตู้เสื้อผ้าด้วยความรีบร้อน เขาก็แสร้งทำเป็นชะลอความเร็วให้ช้าลง สายตาทอดมองไปที่อวี้ชิงลั่วด้วยสายตามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
เฉินจีซินสาวเท้าไปยืนข้าง ๆ องค์ชายสาม ชี้นิ้วไปที่อวี้ชิงลั่วพลางกล่าวอย่างอาฆาต “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝั่งขวา เมื่อครู่พวกท่านก็ได้ยินแล้ว อวี้ชิงลั่วผู้นี้คือสตรีที่ถูกไล่ออกจากจวนอวี๋เพราะคบชู้เมื่อหกปีก่อนจริง ๆ เป็นบุตรีที่นำความอัปยศมาให้จวนอวี้ของพวกเรา สตรีที่ไม่มีความซื่อสัตย์ทั้งยังเอาแต่พูดจาโกหกเช่นนี้ จะให้แต่งเข้าไปอยู่ในราชวงศ์ได้อย่างไรกัน? จะให้กลายเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ของราชวงศ์ได้อย่างไรกันเพคะ?”
องค์ชายสามเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง พัดที่อยู่ในมือถูกกางออกจนเกิดเสียง ‘สวบ’
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีบุคลิกอ่อนโยน แต่กลับแสร้งทำตนเป็นต้นอ้อลู่ลม ตงซือเหลียนขมวดคิ้ว [1] อัปลักษณ์สิ้นดี
ไม่แปลกใจเลย นางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่แล้วเชียว เหตุใดวันนี้อวี้ชิงโหรวถึงได้ทำตัวนิ่งสงบเช่นนี้? อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้มีคนนอกอยู่ด้วยกลับทำตัวเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ ทั้งยังแสดงออกว่าเป็นห่วงและอยากปกป้องอวี้เจี้ยนต๋าครั้งแล้วครั้งเล่า
นางจำได้ว่าคราวก่อนตอนที่อยู่ในท้องพระโรง อีกฝ่ายไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเฉินจีซินจะถูกตบจนมุมปากแดงหน้าบวมเป่ง ทั้งยังขอร้องให้แม่ของนางรับผิดและถูกทำโทษ
เอาเถิด ตอนแรกนางคิดว่าอวี้เจี้ยนต๋าคือที่พึ่งพิงของอวี้ชิงโหรว เพื่อชีวิตหลังจากนี้จึงต้องอดทนอดกลั้นและกลืนเสียงไปชั่วคราวเพื่อให้นางช่วยชีวิตอวี้เจี้ยนต๋ากลับมา
ทว่าเมื่อเห็นว่าหลีจื่อฟานอยู่ด้วย นางก็พอจะเข้าใจทั้งหมดแล้ว นี่คงคิดจะแสร้งทำตัวให้น่าสงสารต่อหน้าคนที่ตนเองรัก ทำตัวมีคุณภาพ ทำเหมือนเป็นผู้มีความรักและกตัญญู ทำให้นางลำบากใจแล้วจริง ๆ
“แม่นางชิง…อ๋อ ไม่ถูกสิ บางทีเราควรเรียกเจ้าว่าแม่นางอวี้” องค์ชายสามขยับพัดสองวูบด้วยท่าทางภาคภูมิใจระคนเกียจคร้าน “แม่นางอวี้มีอะไรอย่างจะพูดหรือไม่? เมื่อครู่เราและเสนาบดีฝั่งขวาได้ยินชัดเต็มสองหู เจ้าพูดว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อหกปีก่อน จึงหวังว่าคนของตระกูลอวี้และจวนอวี๋อยากตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่จริง ๆ”
อวี้ชิงลั่วไม่พูดไม่จา เพียงแต่เม้มริมฝีปากยืนอยู่อย่างนั้น ท่าทางราวกับหายใจไม่ออกเพราะถูกจับได้ในที่เกิดเหตุและไม่มีอะไรให้พูด
องค์ชายสามได้เห็นยิ่งรู้สึกได้ใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางชิงที่คนภายนอกพูดกันว่าเป็นหมอปีศาจจิตใจเมตตา ก็เป็นสตรีผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดเช่นกัน แม้แต่พ่อแท้ ๆ ของตนเองยังไม่ปล่อยไว้ สตรีเช่นนี้จะคู่ควรกับน้องห้าของเราได้เยี่ยงไรกัน? อีกอย่าง เจ้าเองก็เป็นสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว”
มือเล็ก ๆ ของอวี้ชิงลั่วกำเข้าหากันจนแน่น ถลึงตามององค์ชายสามด้วยความโกรธแค้น
องค์ชายสามสบตาเข้ากับสายตาที่ไม่ได้มีพิษสงใด ๆ จึงรู้สึกมีความสุขโดยพลัน “โถ่เอ๊ย พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณคุณชายอวี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้าจิตใจดี มีความเป็นห่วงโรคของพ่อเจ้า ด้วยนิสัยเนรคุณลืมบรรพบุรุษไม่รู้จักบุญคุณคนแม่นางชิง เกรงว่าคงไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นแน่ พวกเราก็คงไม่มีทางได้ยินบทสนทนาอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ จุ๊ ๆๆ คุณชายอวี้ คุณงามความดีของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก”
อวี้เป่าเอ๋อร์ร่างกายแข็งทื่อโดยพลัน เนื้อตัวสั่นเทาโดยที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยพลัน
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น ฝ่ามือที่วางอยู่บนบ่าของเขากดลงหนัก ๆ เพื่อให้อาการสั่นของเขาหายไป
วินาทีต่อมา นางก็ย่อตัวลงเล็กน้อย ชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอวี้เป่าเอ๋อร์เบา ๆ “เจ้าจะกลัวไปไย? หรือเจ้าคิดว่ามาจนถึงวันนี้ พี่สาวของเจ้าจะปล่อยให้คนอื่นรังแกต่อไป?”
“แต่ท่านพี่ หากมิใช่เพราะข้า…” ในที่สุดอวี้เป่าเอ๋อร์ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสายตาที่ท่านอ๋องซิวมองมาที่เขาถึงได้แฝงด้วยความเฉียบคมและไม่เห็นด้วยเล็ก ๆ จริงสิ เป็นเพราะนิสัยใจอ่อนเช่นนี้ของเขา มักจะทำให้ท่านพี่เดือดร้อนอยู่เสมอ
อวี้เป่าเอ๋อร์รู้สึกละอายใจ วินาทีต่อมา เขาก็หันไปถลึงตามองอวี้เจี้ยนต๋าที่อยู่บนเตียง
อีกฝ่ายชะงัก พยายามออกแรงเพื่อลืมตา บนใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาถูกอวี้เป่าเอ๋อร์จ้องมองเช่นนี้จึงได้สติกลับคืนมา หันไปมองเฉินจีซินด้วยท่าทางแข็งทื่อ อารมณ์ความรู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด “จีซิน…เจ้า…เจ้า…พวกเขา พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้าทำอะไร? เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฉินจีซินถูกอีกฝ่ายจ้องมองจึงเกิดอาการร้อนตัวจนกระส่ายกระสับ ทว่าเมื่อนึกได้ว่าอวี้เจี้ยนต๋าอยู่ได้อีกไม่นาน จึงตะคอกกลับไปว่า “ข้าทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของท่าน ท่านก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในโลงครึ่งเท้าแล้ว หลังจากวันนั้นที่ท่านกลับมาจากสนามแข่ง ท่านยังเห็นพวกเราสองแม่ลูกอยู่ในสายตาอยู่ในใจบ้างหรือไม่? ท่านเอาแต่รู้สึกละอายใจต่ออวี้ชิงลั่วอยู่เต็มอกมิใช่รึ? คิดว่าพวกเราทารุณเป่าเอ๋อร์มิใช่รึ? รู้สึกผิดกับอดีตฮูหยินที่ลาลับโลกไปแล้วของท่านมิใช่รึ? เช่นนั้นก็ดี ถึงอย่างไรโรคของท่านก็รักษากลับมาไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไปอยู่กับฮูหยินอายุสั้นของท่านเสียเถอะ”
อวี้เจี้ยนต๋าทั้งตกใจและเสียใจ มองฮูหยินที่ร่วมเตียงเคียงหมอนมากับเขาหลายปีราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกราวกับมีเลือดทะลักออกมาจากใจอย่างต่อเนื่อง ทรมานตลอดเวลาจนทำให้เขาแทบจะสิ้นสติไป
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น รีบก้าวเท้าไปข้างเตียงสองก้าว ยัดยาที่อยู่ในมือใส่เข้าไปในปากของเขา ตวาดเสียงทุ้มต่ำว่า “กลืนลงไป”
อวี้เจี้ยนต๋าชะงัก ก่อนจะกลืนยาลงไปอย่างเชื่อฟัง อารมณ์ที่อัดแน่นจึงมลายหายไปอย่างน่าทึ่ง เขาชะงักไป ก่อนจะมองอวี้ชิงลั่วพร้อมกับหลั่งน้ำตาด้วยความรู้สึกเสียใจ “ข้า…ข้าขอโทษ…เจ้า”
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ” อวี้ชิงลั่วแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปจ้องมองอวี้เป่าเอ๋อร์ที่กำลังมองบิดาของตนเองด้วยความตกใจ นางจึงโบกมือเรียกให้เขาเดินเข้ามา
“ท่านพี่…” เสียงของอวี้เป่าเอ๋อร์ยังคงมีความเปราะบางเล็ก ๆ เมื่อครู่ หากมิใช่เพราะท่านพี่ลงมือทันเวลา ท่านพ่อจะจากไปในตอนนั้นใช่หรือไม่?
“เป่าเอ๋อร์ โรคของพ่อเจ้าเป็นความจริง เขาป่วยหนักจริง ๆ และยากที่จะรักษาให้หาย ข้าคิดว่า ต่อให้พ่อของเจ้าสติฟั่นเฟือนมากกว่านี้ก็คงไม่ถึงขั้นใช้ชีวิตของตนเองเพื่อมาวางแผนให้ร้ายข้า เจ้าอย่าคิดมากเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาและไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นคนจิตใจดียิ่ง แม้ว่านี่จะเป็นจุดอ่อนของเจ้า แต่ก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน เรื่องต่าง ๆ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตอนนี้พี่ก็ยังสบายดีมิใช่รึ? พวกเขาคิดจะใส่ร้ายพี่ ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะสำเร็จหรือไม่”
อวี้ชิงลั่วกดน้ำเสียงช่วงหลังให้เบาลงทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกสงบ อวี้เป่าเอ๋อร์พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พบว่าอวี้ชิงลั่วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเผชิญหน้ากับองค์ชายสามด้วยสีหน้ามืดหม่น
“ท่านอ๋องสาม เมื่อครู่ท่านพูดว่า ข้ายอมรับว่าข้าคืออวี้ชิงลั่วคุณหนูใหญ่ของจวนอวี้รึ?”
“เหอะ ทำไมรึ จนถึงตอนนี้เจ้ายังคิดจะเล่นลิ้นอีกรึ?” องค์ชายสามแค่นเสียงเย้ยหยันหนึ่งเสียง “เราและเสนาบดีฝั่งขวาได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อไปยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของเสด็จพ่อ ย่อมเล่าออกมาตามลำดับได้สบาย ๆ คราวนี้อย่าได้คิดจะใช้ข้อแก้ตัวมั่ว ๆ เพื่อให้ผ่านพ้นไป”
ครั้นกล่าวจบ องค์ชายสามก็หันไปมองหลีจื่อฟานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
หลีจื่อฟานจึงแย้มยิ้มออกมา
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ตงซือเหลียนขมวดคิ้ว (东施效颦) หมายถึง เลียนแบบคนอื่นอย่างหลับหูหลับตา เข้าทำนองเห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง
สารจากผู้แปล
เวรกรรม ติดกับดักนังสองแม่ลูกนี่แล้ว จะซ้อนกลแก้แผนยังไงดีเนี่ยชิงลั่ว
แล้วเสนาบดีฝั่งขวาจะช่วยชิงลั่วไหม
ไหหม่า(海馬)