อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 530 บ่ายเบี่ยงเอาตัวรอด
ตอนที่ 530 บ่ายเบี่ยงเอาตัวรอด
ตอนที่ 530 บ่ายเบี่ยงเอาตัวรอด
อวี้ชิงลั่วสำลัก มองซ้ายแลขวา ก่อนจะตระหนักได้ว่านางมายืนอยู่ข้างรถม้านอกเรือนรับรองแล้ว
ประโยคสุดท้ายนั้นดูเหมือนจะถูกพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเย่ซิวตู๋… ในขณะนี้กำลังยืนอยู่ข้างรถม้า และจ้องมองนางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ชิงเอ๋อร์ ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อย”
อวี้ชิงลั่วแหงนหน้ามองท้องฟ้า โอ้ อากาศหลังฝนตกช่างแจ่มใสเหลือเกิน ท้องฟ้าก็ช่างงดงามนัก แม้แต่หยดน้ำบนกิ่งไม้ก็ใสกระจ่างราวเกล็ดเพชร
แม่นมเซียวมีสายตาเฉียบแหลม ไม่นานนักนางก็ทำความเคารพและเริ่มหาข้ออ้างที่จะจากไป “ท่านอ๋อง องค์หญิง หม่อมฉันต้องไปซื้อของบางอย่างระหว่างทาง ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องขอตัวลาก่อนนะเพคะ”
เย่ซิวตู๋โบกมือให้ ดีแล้ว
อวี้ชิงลั่วฉวยโอกาสนี้เข้าไปในรถม้าโดยไม่ได้เอ่ยคำใดสักคำ จากนั้นเอนตัวพิงหมอนนุ่ม ๆ และเริ่มหลับตาพักผ่อน
เมื่อเย่ซิวตู๋เข้ามา นางก็ถอนหายใจอย่างแรง หลับตาขณะพูดอย่างขมขื่นว่า “เฮ้อ ข้าเหนื่อยจริง ๆ ข้ายุ่งมากว่าสองชั่วยามแล้ว ไหล่ของข้าก็ปวดไปหมด โอ๊ย ขาของข้าเริ่มจะสั่น อุ๊ย แถมตาของข้าก็พร่ามัวด้วย ข้าต้องพักสักหน่อย อย่ารบกวนข้าเลย”
มุมปากของเย่ซิวตู๋กระตุก แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางเหนื่อยล้าจริง ๆ เขาก็ลอบกัดฟันกลืนคำพูดทั้งหมดที่กำลังจะพูดลงท้องไป
เขาสั่งให้คนขับกลับไปที่ตำหนักอ๋องซิวและนั่งข้างอวี้ชิงลั่ว จ้องมองใบหน้าเรียบเนียนของนาง สุดท้ายก็อดใจไว้ไม่อยู่ ยื่นมือออกไปนวดลงบนไหล่ของนางช้า ๆ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกราวกับว่ามีกระแสน้ำอุ่นค่อย ๆ ไหลผ่านไหล่ที่ปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย กระจายไปยังแขนขาและกระดูกของนาง
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันดูเหมือนจะหายไป และเส้นสายทั้งหมดในร่างกายก็คล้ายจะอ่อนนุ่มลง
มุมปากของอวี้ชิงลั่วเผยรอยยิ้มอ่อน และดูเหมือนว่าสีหน้าของนางจะผ่อนคลายลงมาก
มือของเย่ซิวตู๋เลื่อนลงมาจากไหล่ของนาง และย้ายมากดเบา ๆ บนแผ่นหลังต่อ อวี้ชิงลั่วถอนหายใจออกมาด้วยความสบายตัว เปลือกตาของนางหรี่ลงมาก นางต้องการจะนอนหลับไปเช่นนี้จริง ๆ โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น
จนกระทั่ง…
มือของเย่ซิวตู๋ขยับไปที่แขนของนาง เมื่อมาถึงข้อมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงขณะหยุดนวด คว้าข้อมือของนางแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ข้อมือของเจ้าบาดเจ็บหรือ? เหตุใดต้องพันผ้าพันแผลด้วย?”
หัวใจของอวี้ชิงลั่วเต้นรัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางพลิกตัวกลับมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยืนมืออีกข้างหนึ่งออกมา เผยให้เห็นว่าที่มืออีกข้างก็ถูกพันด้วยผ้าพันแผลด้วย และกระซิบด้วยความระทมใจเสียงงัวเงียว่า “โอ้ ท่านพูดมาแบบนี้ ก็ต้องบอกว่าข้าเป็นคนทำเองแหละ ซ่างกวนจิ่นถูกวางยาพิษไม่ใช่หรือ? พิษนั้นมีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ทำให้คนที่ถูกพิษเจ็บปวดมาก ข้ากังวลว่าตอนที่ข้ารักษาเขา เขาอาจจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวและจะบีบข้อมือข้า ข้าจึงนำผ้าพันแผลมาพันรอบข้อมือทั้งสองข้างเพื่อความปลอดภัย แต่โชคดีที่เขายังคงไม่ได้สติ และข้ากังวลมากเกินไป”
อันที่จริงนางไม่ได้กังวลมากเกินไปหรอก เจ้าบ้านั่นบีบข้อมือนางจริง ๆ และเกือบจะหักกระดูกนางด้วย
โชคดีที่นางมองการณ์ไกล และรู้ว่ารอยฟกช้ำบนข้อมือของนางย่อมไม่อาจหนีพ้นจากสายตาที่เหมือนไฟฉายของเย่ซิวตู๋ได้ ดังนั้นนางจึงใช้ผ้าพันแผลพันมือทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะวุ่นวายกว่าเดิม
สวรรค์รู้ดีว่าชายคนนี้เวลาโมโหขึ้นมาคราใดจะหุนหันพลันแล่น จนสามารถไปฆ่าซ่างกวนจิ่นที่นางช่วยชีวิตไว้ได้
อวี้ชิงลั่วพลิกตัวกลับมาอีกครั้ง เอนตัวหนุนตักของเขาและสูดลมหายใจเบา ๆ “ข้าขอนอนก่อนนะ ง่วงมาก”
เย่ซิวตู๋ไม่เคยขัดนางได้เลย เมื่อเห็นนางนอนหนุนบนตักของเขาราวกับลูกแมว เขาก็นึกถึงเรื่องที่นางโกรธเขาเมื่อวานนี้ และทันใดนั้นก็รู้สึกหวงแหนช่วงเวลานี้อย่างสุดซึ้ง เขาจึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ด้วยการเอนตัวลงและกอดนางเบา ๆ และมือที่ว่างก็ยังคงกดแผ่นหลังของนางอย่างเบามือ
อวี้ชิงลั่วไม่อาจรู้สึกสบายใจไปได้มากกว่านี้ นางเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง เมื่อคืนนางรู้สึกเหมือนนอนไม่ค่อยสบายเลย การทะเลาะกับบุรุษผู้นี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด และทำให้นางนอนไม่หลับ
หากมีโอกาส นางจะทำข้อตกลงกับเขาว่ายามใดที่ทะเลาะกันครั้งหน้า อย่างไรเสียก็ต้องกลับมานอนด้วยกัน ไม่เช่นนั้นนางจะต้องเสียเปรียบแน่
ไม่เช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
มุมปากของเย่ซิวตู๋กระตุก แม่หยกอ่อนตัวหอมอบอุ่นในอ้อมแขนของเขาทำให้เขามีความสุขมาก
ทั้งสองเอนกายกอดกัน คนหนึ่งกำลังหลับใหลในความมืด และอีกคนหนึ่งกำลังมองหญิงสาวที่กำลังหลับใหลในความมืด
ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้มีเจ้าตัวเล็กกำลังรอพวกเขาอยู่ในตำหนักอ๋องซิวมานานแล้ว
หนานหนานตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มเตรียมคิดหาวิธีขอคืนดีแม่อย่างมุ่งมั่น
หลังจากปฏิเสธไปเป็นร้อยวิธี ในที่สุดเขาก็นึกได้ในตอนบ่าย และจัดการเขียนหนังสือสารภาพผิดสองหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันท่วมท้น จากนั้นก็ตกแต่งขอบและผูกไว้อย่างประณีต และยังวาดรูปหัวใจด้วยหมึกสีแดงไว้ตรงส่วนท้ายกระดาษด้วย
จากนั้นเขาก็ตีหน้าเศร้า ท่ามกลางสายตาประหลาดใจและหวาดเกรงของคนรับใช้ในตำหนัก เขาแทบรอไม่ไหวที่จะไปยังตำหนักของอวี้ชิงลั่ว
แต่บังเอิญว่าไม่มีใครอยู่ในตำหนัก ไม่มีใครอยู่เลย!!!
หนานหนานวิ่งค้นหาไปมาทั่วตำหนัก แต่ก็ไม่พบใครเลย ไม่ต้องพูดถึงท่านแม่ แม้แต่แม่นมเซียวก็หายไปด้วย
เมื่อหญิงรับใช้เห็นว่าเขาร้อนรนราวกับมดบนกระทะร้อน นางจึงรีบบอกเขาว่าแม่นางอวี้ออกไปกับแม่นมเซียวตั้งแต่หลังอาหารกลางวันแล้ว
มุมปากของหนานหนานกระตุกสองครั้ง แล้วถามว่า “พวกนางไปไหน?” วันที่ฝนตกเช่นนี้ ออกไปข้างนอกก็อาจจะเป็นหวัด
หญิงรับใช้ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “หม่อมฉันไม่รู้” หากแม่นางอวี้จะไปที่ใด แล้วนางจะบอกหญิงรับใช้เช่นนางได้อย่างไร
หนานหนานเกาศีรษะและไม่มีทางเลือก ดังนั้นเขาจึงต้องอธิบายให้หญิงรับใช้ฟัง แล้วบอกว่าหากท่านแม่ของเขากลับมาแล้วให้ไปบอกเขา ก่อนจะกลับไปยังตำหนักของตน
เขานอนอ่านหนังสือสารภาพผิดสองหน้านั้นจนเกือบจะบ่ายคล้อย
หนานหนานรู้สึกว่าตนเองโชคไม่ดีเลย เขาอุตส่าห์สร้างอารมณ์เพื่อทำหน้าเศร้ามาตั้งนาน แต่ไม่คิดว่ามันจะสูญเปล่า เมื่อท่านแม่กลับมา ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะยังมีอารมณ์อยู่หรือเปล่า
เขากลิ้งตัวไปมาและนั่งลงพร้อมกับถอนหายใจ แล้ววางหนังสือสารภาพผิดลงบนโต๊ะ ข้าจะตรวจสอบอีกครั้ง… เผื่อว่าจะเขียนผิด
อ่านไปอ่านมา จู่ ๆ เด็กน้อยก็น้ำตาไหล เขาปาดน้ำตาแล้วบอกว่า “ช่างซาบซึ้งยิ่งนัก คำสารภาพนี้ซึ้งมาก ฮือ ๆๆ คนเขียนนี่ช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร เขียนถ้อยคำที่ซึ้งกินใจได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่คนที่มีจิตใจแข็งกระด้างอ่านแล้วก็ต้องให้อภัยแน่นอน ฮือ ๆๆ ข้ารู้สึกซาบซึ้ง… โอ้ ไม่สิ ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นคนเขียนสิ่งนี้เองนี่นา แต่มันก็ยังซึ้งมาก ข้าจะร้องไห้อีกแล้ว”
คนที่เพิ่งแอบเข้ามาในห้องจากหน้าต่างได้ยินดังนั้น ก็เกือบจะสะดุดขาตัวเอง ใบหน้าที่เย็นชาตลอดเวลาของเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เมื่อหนานหนานได้ยินเสียงกุกกัก ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำมูกและน้ำตาหยดย้อยด้วยความเศร้าหมองก็ดูเหมือนจะชะงักไป และในวินาทีต่อมาเขาก็หันไปมองทันที “ใคร?”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีมากค่ะชิงลั่ว เอาตัวรอดด้วยการนอนหลับนับว่าเอาตัวรอดได้ดี
ไหหม่า(海馬)