อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 552 ทุกคนมากันครบแล้ว
บทที่ 552 ทุกคนมากันครบแล้ว
บทที่ 552 ทุกคนมากันครบแล้ว
อวี้ชิงลั่วลงมือราวสายฟ้า เข็มทิ่มแทงลงไปในผิวหนังของเซียวเฟยเหนียงเหนียง ทำให้เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือเงียบลงไปในทันที
เซียวเฟยมองอวี้ชิงลั่วที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองเข็มเงินที่ถูกซัดออกมาด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมใบหน้าเฉยชา
จากนั้นทุกสิ่งตรงหน้าก็เลือนราง คนทั้งคนล้มลงไปกับพื้น ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีก
อวี้ชิงลั่วส่งสายตาให้หนานหนาน หนานหนานวิ่งไปที่อีกด้านของกำแพง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “มีมือสังหาร มีมือสังหาร”
เมื่อเสียงของเขาเงียบลง ก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นอยู่ไม่ไกล
จากนั้นไม่นานก็มีนักบวชหญิงสองสามคนวิ่งมาจากทางวัด
ที่ตามหลังพวกนางมากลับเป็นซูเฟยเหนียงเหนียงและไท่จื่อเฟยที่กระหืดกระหอบตามมา เมื่อทั้งคู่เห็นว่าอวี้ชิงลั่วไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“มาถึงเสียที” ซูเฟยยังคงหายใจหอบ ไท่จื่อเฟยต้องใช้แรงทั้งหมดจึงจะช่วยพยุงนางไว้ได้ หลังจากเห็นอวี้ชิงลั่วแล้วก็ช่วยพยุงซูเฟยไปพักที่อีกด้านหนึ่ง
เพียงอวี้ชิงลั่วเห็นสีหน้าซีดเผือดของซูเฟย ในใจก็คิดว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวเพื่อจับชีพจรของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองนางด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหนียงเหนียง ถ้าหากคราวหน้ายังทรงรีบร้อนเช่นนี้อีก อาการจะยิ่งเลวร้ายลงมากนะเพคะ”
ซูเฟยโบกปัดมือไปมา กินยาที่นางส่งให้ลงไป จากนั้นก็เอ่ย “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“คำนี้ควรเป็นหม่อมฉันที่ถามนะเพคะ” ในน้ำเสียงของอวี้ชิงลั่วยังมีความไม่พอใจอยู่ แต่ไท่จื่อเฟยและซูเฟยได้ยินแล้วก็เข้าใจ นี่นางเป็นห่วงพระนางอย่างจริงใจ
ซูเฟยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา จับมือของนางแล้วยิ้ม “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“เหนียงเหนียงทรงพักผ่อนเถิดเพคะ ตอนนี้พระองค์ไม่ควรกล่าวอะไรมากแล้ว” อวี้ชิงลั่วจับมือตอบอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก จากนั้นจึงนำคำถามไปถามกับไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยหัวเราะออกมา บุ้ยปากไปทางหนานหนาน “ถือว่าเป็นฝีมือยอดเยี่ยมของเด็กน้อยคนนั้น กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงและหลิวเฟยเหนียงเหนียงต่างก็ทะเลาะกันเพราะเรื่องของหนานหนาน เดิมทีข้าอยู่ในตำหนักคุยกับหลานเฉิง บังเอิญได้ยินนักบวชหญิงที่เดินผ่านมาด้านนอกพูดคุยกัน เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะเข้ามาร่วมวงด้วย แต่เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหนานหนานก็กลัวเขาจะลำบากเอาได้ จึงคิดจะมาหาเจ้าเพื่อมาหาวิธีกัน”
คิดไม่ถึงว่าเพียงนางไปที่เรือนของอวี้ชิงลั่วได้ไม่นานก็เห็นเฟยเกอนอนอยู่ที่มุมห้อง
ตอนนั้นไท่จื่อเฟยตกใจมาก ยังไม่ทันจะได้ทำอันใดก็เห็นคนพยุงซูเฟยเหนียงเหนียงมาเช่นกัน
ซูเฟยเห็นว่าเป็นเฟยเกอ ก็นึกได้ว่าระยะนี้เหมิงกุ้ยเฟยดูผิดปกติไป อวี้ชิงลั่วก็บังเอิญถูกเย่หว่านเยียนเชิญไปที่ตำหนักของเฉินเฟยอีกครั้ง จึงรู้สึกไม่สบายใจนัก
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยต้องการมาพบอวี้ชิงลั่วเช่นกัน หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ให้คนไปบอกกับเหมิงกุ้ยเฟยว่าที่วัดนี้มีมือสังหาร บอกว่าเฟยเกอถูกวางยาพิษ ขอให้เหมิงกุ้ยเฟยตามองครักษ์ที่ด้านนอกวัดมาเพื่อตามจับมือสังหารนั้น กล่าวอย่างสั้นๆ คือยิ่งทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี เพื่อกระจายความสนใจของทุกคนออกไป
ตนเองนั้นก็รุดไปที่ตำหนักของเฉินเฟย นางต้องเป็นคนแรกที่พบอวี้ชิงลั่ว ไม่ว่านางจะต้องพบกับแผนร้ายใด อย่างไรเสียหากนางเป็นคนแรกที่ปรากฏตัว ก็ยังดีกว่าเป็นผู้อื่น
ไท่จื่อเฟยเป็นคนฉลาด ได้ยินซูเฟยสั่งเช่นนี้ ในใจอดจะเต้นตึกตักไม่ได้ และเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
นางกล่าวเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ‘ชีวิตของตนและเย่หลานเฉิงนั้นต่างก็เป็นแม่นางชิงที่ช่วยเอาไว้’ แสดงให้ซูเฟยเห็นว่าตนนั้นหวังดีกับอวี้ชิงลั่ว ขอให้นางเชื่อใจตน
ซูเฟยนั้นรู้จักตัวตนของไท่จื่อเฟย หลังจากครุ่นคิดแล้ว จึงพาไท่จื่อเฟยมาด้วยกัน
แต่ระหว่างทางที่มาก็บังเอิญพบกับนักบวชหญิงสองสามคน เดิมทีซูเฟยจะให้พวกนางไปที่อื่น แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะได้ยินเสียง ‘ช่วยด้วย’ ดังลั่น ไม่รอให้ซูเฟยกล่าวอันใด นักบวชหญิงเหล่านั้นก็รีบร้อนรุดไปตามเสียงนั้นอย่างตื่นตระหนกเสียแล้ว
ซูเฟยไม่พอใจเล็กน้อย จึงเร่งรีบตามไปด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของหนานหนานดังขึ้นมาอีกครั้ง ซูเฟยและไท่จื่อเฟยจึงสบตากัน ต่างก็มากันอย่างวางใจ
ในเมื่อเสียงของหนานหนานดังขึ้นแล้ว ทางด้านแม่นางชิงก็น่าจะไม่มีอันใดต้องเป็นห่วงอีก
เมื่ออวี้ชิงลั่วฟังจบก็เงยหน้ามองทั้งสองคน จากนั้นก็หัวเราะออกมา ในวังหลวงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเจตนาอื่นใดแอบแฝงใช่หรือไม่?
ถึงแม้ซูเฟยและไท่จื่อเฟยจะกล่าวว่าเป็นเพราะนางช่วยชีวิตเอาไว้ จึงทำดีกับนาง แต่ในวังหลวงนั้น ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยการวางอุบายอยู่ทุกแห่งหน จะมีสักกี่คนที่คิดอยากจะตอบแทนกันเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่ซูเฟยวิ่งมาด้วยความเป็นห่วงตลอดทาง ถึงขั้นที่ไม่ทันนึกถึงความไม่สบายของตนเลย
ตัวซูเฟยนั้นมีความเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเหมิงกุ้ยเฟยและเซียวเฟยมากทีเดียว
“ขอบพระทัยมากเพคะ!” หลังจากเงียบไปนาน อวี้ชิงลั่วก็สามารถกล่าวออกมาได้ คงจะมีเพียงประโยคนี้เท่านั้นกระมัง
ไท่จื่อเฟยยิ้มแล้วส่ายหัว “พวกเราไม่ได้ช่วยอันใดเลย เห็นเจ้าอยู่อย่างสงบไม่มีเรื่องราวอันใด เกรงว่าคงจะแก้ไขทุกปัญหาได้ด้วยตนเองแล้วสินะ”
“ท่านแม่…” ทางด้านหนานหนานก็พาเหล่านักบวชหญิงทำการ ‘ค้นหา’ บริเวณโดยรอบครั้งหนึ่ง ไม่เห็นว่ามีร่องรอยการซ่อนตัวของ ‘มือสังหาร’ เลย จึงรีบกลับมากันทันที
“ท่านแม่ ดูท่ามือสังหารจะหนีออกจากวัดไปแล้วขอรับ” หนานหนานกล่าวอย่างจริงจัง
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แสร้งทำเป็นส่ายศีรษะ “น่าเสียดายที่จับมือสังหารไม่ได้ ช่างกล้านักที่ทำร้ายคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ กลับหนีไปได้ ช่างน่ากลัวมากจริงๆ”
“ไม่ช้าก็เร็วต้องจับได้แน่” ซูเฟยยิ้มอย่างมีนัยลึกซึ้ง
ในตอนนั้นเองถึงพบว่า ณ ที่ตรงนั้น นอกจากแม่ลูกอวี้ชิงลั่วแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีก
เมื่อเห็นคนอื่นๆ อย่างชัดแจ้งแล้ว ซูเฟยก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “หว่านเฟย เซียวเฟย หว่านเยียนหรือ พวกนาง…”
“พวกนางเพียงเป็นลมไปน่ะเพคะ หม่อมฉันจะปลุกพวกนางเอง”
อวี้ชิงลั่วก้าวไปตรงหน้าหว่านเฟยทั้งสองคน เอื้อมมือออกไปจับที่ระหว่างจมูกและปากของพวกนางแล้วออกแรงเล็กน้อย
“โอ้…” เสียงพึมพำดังออกมา หว่านเฟยและเย่หว่านเยียนฟื้นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกไม่สู้ดีนัก สีหน้างุนงง กะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นอวี้ชิงลั่วที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เย่หว่านเยียนไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หลังจากหว่านเฟยหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เบิกตากว้างแล้วถามอย่างตระหนกตกใจ “เจ้า… เจ้าคนที่ใส่หน้ากากล่ะ”
อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า “หนีไปแล้วเพคะ”
“หนีไปแล้วหรือ” หว่านเฟยตกใจ จับมือของอวี้ชิงลั่วไว้ทันที พลางถามนางอย่างตื่นตระหนก “แล้ว แล้วเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ เขาบาดเจ็บหรือไม่”
“เซียวเฟยเหนียงเหนียง เซียวเฟยเหนียงเหนียง” คำถามของหว่านเฟยยังไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีเสียงตื่นตกใจของนักบวชหญิงคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นดูตกใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างก็เบนสายตาไปยังทางด้านนั้น
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังกรอบแกรบจากที่ที่ไม่ไกลนัก จากนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงเฉยชาของเหมิงกุ้ยเฟย “เกิดอะไรขึ้น”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
กุ้ยเฟยโดนซ้อนแผนแล้วมั้งคะนั่น เซียวเฟยโดนพิษว่านแมลงทับของชิงลั่วตัวแข็งไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)