อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 558 เหมิงกุ้ยเฟยถูกยึดอำนาจ
ตอนที่ 558 เหมิงกุ้ยเฟยถูกยึดอำนาจ
ตอนที่ 558 เหมิงกุ้ยเฟยถูกยึดอำนาจ
อวี้ชิงลั่วรีบสะบัดผ้าห่มผืนบางออกจากตัว แล้วลงไปยืนที่พื้น ก่อนที่เย่ซิวตู๋จะหันหลังกลับมา นางก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเอวเขาจากด้านหลัง
“มันไม่ใช่ธุระของท่าน ท่านอย่าได้จริงจังเกินกว่าเหตุเลย”
สมแล้วที่เขาและหนานหนานเป็นพ่อลูกกัน แม้แต่ท่าทางที่ชวนอึดอัดใจก็ดูเหมือนกันทุกประการ ทั้งสองมักหันหลังให้นางและไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
หากเป็นหนานหนานก็รับมือได้ไม่ยาก เพราะไม่นานเขาก็หายเป็นปกติได้ แต่เย่ซิวตู๋นั้นต่างออกไป หากชายผู้นี้โกรธจริง ๆ ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงเกินจินตนาการ
เสียงของเย่ซิวตู๋แผ่วเบามาก “ข้าไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี”
แน่นอนว่าอวี้ชิงลั่วรู้ว่าคนผู้นี้คิดเหมือนกับหนานหนาน พ่อลูกคู่นี้ช่างเหมือนกันนัก
“ใครบอกว่าท่านไม่ปกป้องข้า? ท่านไม่คิดหรือว่าเหตุใดตอนนี้ข้ายังสบายดี? เป็นเพราะท่านเองที่มองการณ์ไกลให้หนานหนานตามข้าไปด้วย หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจของท่าน ตอนนี้ข้าคงจะตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว ดูสิ ท่านปกป้องข้าไว้ ตอนนี้ข้าจึงมายืนอยู่ตรงหน้าท่านอย่างปลอดภัยได้”
เย่ซิวตู๋หันกลับมาทันที เขากอดร่างของอวี้ชิงลั่วไว้แน่น และซุกหน้าเข้ากับซอกคอของนาง และสูดหายใจอย่างแรง
“ชิงเอ๋อร์…”
อวี้ชิงลั่วรู้สึกอึดอัด จึงตบไหล่แล้วกระซิบว่า “อย่าแบกรับความผิดทั้งหมดไว้กับตัวเองเลย ข้ายืนกรานที่จะไปที่วัดหลิงไท่เองตั้งแต่แรก และข้าก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น”
“ชิงเอ๋อร์…” เขายังคงเรียกนางด้วยเสียงแผ่วเบาโดยไม่ได้พูดอะไร
อวี้ชิงลั่วผลักร่างของเขาออกไปเล็กน้อย และมือที่โอบรอบเอวเขาอยู่ก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นข้างบน จากนั้นใช้แขนโอบรอบคอของเขา แล้วเขย่งตัวจุมพิตริมฝีปากบางอันเย็นเยียบของเขา
รูม่านตาของเย่ซิวตู๋หดตัว และมือที่กำลังโอบรอบเอวของนางก็ออกแรงมากขึ้นเล็กน้อย เพื่อยกตัวนางขึ้น
ริมฝีปากและลิ้นอ่อนนุ่มโอบกระหวัดกันจนไม่อาจแยกออก ทั้งสองเป็นเหมือนคนที่หิวกระหายมาเป็นเวลานาน หิวกระหายถึงความอ่อนโยน และความหวานละมุนของกันและกัน
เย่ซิวตู๋หายใจแรงไม่เป็นจังหวะ ขณะออกแรงบดริมฝีปากของเขา อวี้ชิงลั่วครางเสียงแผ่วเบา หลับตาลงและเผยรอยยิ้มจาง
จากนั้นครู่หนึ่งทั้งสองก็แยกออกจากกันเล็กน้อย แล้วใช้หน้าผากแตะกัน ขณะมองสบตากัน
ใบหน้าของอวี้ชิงลั่วแดงก่ำ และร่างของนางเกือบจะห้อยติดอยู่กับร่างของเขา ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มของนางเปิดออกเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”
“อืม” เย่ซิวตู๋หลับตาลง ขณะพยายามระงับอารมณ์ปั่นป่วน และความเร่าร้อนในอกของเขาที่ไม่อาจอธิบายได้
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สบถออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ชิงเอ๋อร์กำลังบาดเจ็บอยู่ แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้… เขากลับต้องการนาง
อวี้ชิงลั่วหลับตาลงเล็กน้อย มือเล็ก ๆ ของนางเลื่อนลงมาและแตะปลายหูของเขา ก่อนพูดอย่างประหม่าและเขินอายว่า “อันที่จริง ข้า… พร้อมแล้ว”
หัวใจของเย่ซิวตู๋เต้นเร็วขึ้น เขาคว้ามือของนางที่แตะปลายใบหูของเขาอย่างอยู่ไม่สุขเอาไว้ “ชิงเอ๋อร์… เจ้า… เจ้าบาดเจ็บอยู่”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ปล่อยมือของนางแล้วถอยหลังไปสองก้าว เมื่อเห็นว่านัยน์ตาของนางเป็นประกายจ้าราวกับสามารถแผดเผาเขาได้ เขาก็พยายามควบคุมตัวเองด้วยการถอยหลังไปสองก้าว
อวี้ชิงลั่วไม่พอใจ แม้ว่านางจะถูกทุบตี ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ
“ชิงเอ๋อร์ หยุด หยุดกลั่นแกล้งข้าได้แล้ว” เย่ซิวตู๋ทนไม่ไหวอีกต่อไป และเกือบจะโยนนางลงกับพื้น เมื่อสตรีผู้นี้ประหม่า นางมักจะยกมือขึ้นลูบหูของตน ซึ่งการหยอกเย้าอันไร้เดียงสาเช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
อวี้ชิงลั่วพ่นลมออกมาเบา ๆ เย่ซิวตู๋ได้ถอยกลับไปที่ประตูห้องแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดกับอวี้ชิงลั่วว่า “ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ เจ้าพักผ่อนให้เพียงพอเถิด แล้วข้าจะกลับมาในตอนกลางคืน”
ทันทีที่เขาพูดจบก็เดินจากไป
อวี้ชิงลั่วยืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง และใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม ผ่านไปสักพักนางก็ตบแก้มตัวเองเพื่อปรับจังหวะหัวใจที่เต้นแรง ก่อนกลับไปนอนที่เตียง
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของเย่ซิวตู๋เช่นนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเขาปราศจากอาการตายด้านอย่างที่เคยเป็น จึงรู้สึกโล่งใจไปได้ครึ่งหนึ่ง
คืนนั้นแม่นมเซียวกลับมาจากเรือนรับรองของอาณาจักรจิงเหลย พร้อมกับหนานหนานที่อิ่มเอมและพึงพอใจ ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัวเล็ก ก็ดูเหมือนว่าที่เรือนรับรองจะไม่ค่อยสนุกเท่าใดนัก ทุกคนไม่ชอบพูดคุยกัน และไม่มีใครสนใจเขาเมื่อเขาชวนคุยด้วย
อวี้ชิงลั่วเข้าใจว่าเป็นเพราะซ่างกวนจิ่นถูกลอบสังหาร ผู้คุ้มกันในเรือนรับรองย่อมต้องเข้มงวดมากขึ้น และเป็นเรื่องปกติที่ หนานหนานจะไม่พบสิ่งที่น่าสนใจ
ไม่นานหลังจากนั้น เสิ่นอิงก็มาส่งข่าวให้อวี้ชิงลั่ว
บรรดาสตรีที่วัดหลิงไท่รีบกลับมาที่วังเพราะเหตุกะทันหันนี้
อาการของเซียวเฟยรุนแรงเกินไป แม้ว่าหมอหลวงในราชสำนักหลายคนจะพยายามหาทางแก้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้นางอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย ไม่มีใครรู้ว่านางจะฟื้นเมื่อใด
ฮ่องเต้ทรงกริ้วปานอสุนีบาต และต้องการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาสั่งให้เหล่าองครักษ์ไปค้นหาทั่วบริเวณวัดหลิงไท่ เพื่อมองหาเบาะแสของมือสังหาร
อวี้ชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ทั้งหมดนี้อยู่ในความคาดหมายของนางอยู่แล้ว และสิ่งที่นางอยากรู้มากขึ้นในตอนนี้คือเหมิงกุ้ยเฟยจะรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้อย่างไร
นางคิดว่าฮองเฮา หลิวเฟยและคนอื่น ๆ จะไม่พลาดโอกาสที่หาได้ยากนี้แน่นอน
ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้ชิงลั่วกำลังดื่มยาบำรุงกำลังที่เย่ซิวตู๋สั่งให้คนครัวปรุงเป็นพิเศษทดแทนการดื่มชายามบ่าย แม่นมเซียวก็เอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูนางเรื่องสถานการณ์ในวัง
งานสวดมนตร์ขอพรครั้งนี้จัดขึ้นโดยเหมิงกุ้ยเฟย จึงถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง อีกทั้งนางยังออกคำสั่งที่ไม่เหมาะสม วัดหลิงไท่ทั้งหมดจึงไม่ได้รับการปกป้องโดยองครักษ์ เป็นผลให้เหล่าสตรีในวังหลายคนต้องตกอยู่ในอันตราย แม้แต่องค์หญิงเทียนฝูก็ได้รับบาดเจ็บ เซียวเฟยก็หมดสติ หว่านเฟยและองค์หญิงหว่านเยียนก็เกือบจะต้องพิษ ซึ่งเหมิงกุ้ยเฟยไม่สามารถจัดการกับเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวได้
และจากการสืบสวน ฮ่องเต้ก็ทราบว่าในตอนที่หลายคนกำลังตกอยู่ในอันตราย เหมิงกุ้ยเฟยกำลังโต้เถียงกับหลิวเฟย คังเฟยและคนอื่น ๆ ในเรื่องเล็กน้อยอยู่ จึงทำให้ยากที่จะให้อภัยมากขึ้นไปอีก
ในเหตุการณ์นี้ ฮองเฮาจึงมีบทบาทในการทำให้จิตใจของผู้คนสงบลง และมีส่วนช่วยชีวิตเซียวเฟยและองค์หญิงเทียนฝูไว้ได้ และยังสั่งให้องครักษ์พยัคฆ์ทุกคนกระจายตัวออกค้นหามือสังหารทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่พระสนมคนอื่นจะตกอยู่ในอันตราย
สิทธิพิเศษในการปกครองวังหลังของเหมิงกุ้ยเฟยถูกถอนออกไป และหลิวเฟยและคังเฟยก็ถูกลงโทษด้วย
ตอนนี้ไม่มีใครสามารถปกครองวังหลังได้ระยะหนึ่ง ฮ่องเต้คิดดูแล้วก็ยกหน้าที่นี้ให้กับซูเฟย
แต่ซูเฟยเป็นคนฉลาด นางไม่ต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ และคิดว่าตำแหน่งนี้ไม่เหมาะกับนาง ดังนั้นนางจึงตอบปฏิเสธไป และไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของนาง ฮ่องเต้ก็หันความสนใจไปยังฮองเฮา
แต่ฮ่องเต้ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฮองเฮาในตอนนั้น แม้ฮ่องเต้จะยกย่องนางสำหรับเหตุการณ์นี้ ทว่าก็ไม่ได้ตัดสินใจจะปล่อยให้พระนางกลับไปปกครองวังหลังเช่นเดิม สุดท้ายฮ่องเต้จึงสั่งให้ฮองเฮาดูแลวังหลังไปชั่วคราวก่อน หลังจากการแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรสิ้นสุดลง เรื่องนี้จะต้องถูกนำกลับมาตัดสิน
เมื่อแม่นมเซียวพูดเช่นนั้นจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปเล็กน้อย แล้วกระซิบว่า “อันที่จริงตอนแรก ฮ่องเต้ไม่ได้ตั้งใจจะยึดอำนาจปกครองวังหลังของเหมิงกุ้ยเฟยคืนหรอกเพคะ”
“หืม? มีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือ?”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เกือบจะได้เข้าหอกันอีกรอบแล้ว แต่ท่านอ๋องระงับใจไว้ทัน
กุ้ยเฟยโดนแผนตัวเองย้อนมาเล่นงานแล้วสินะ อะหึๆๆ
ไหหม่า(海馬)