อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 568 ข้าไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป
ตอนที่ 568 ข้าไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป
ตอนที่ 568 ข้าไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป
ช่วงนี้อวี้ชิงลั่วดูเหมือนจะเหนื่อยเล็กน้อย ขณะที่แม่นมเซียวกำลังนวดหน้าผากให้นางอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอวี้เป่าเอ๋อร์เดินก้มหน้าเข้าประตูมา
มือของสาวใช้ชราที่กำลังนวดหยุดลง และอวี้ชิงลั่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวนุ่มก็ลืมตาขึ้น
“นายน้อยเป่าเอ๋อร์มาเพคะ” แม่นมเซียวพูดเสียงเบา
เมื่ออวี้ชิงลั่วมองไปทางประตู นางก็เห็นอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ที่นั่นจริง ๆ
“หม่อมฉันขอตัวออกไปก่อนนะเพคะ”
“อืม” อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แล้วแม่นมเซียวก็ถอยออกไป ขณะที่เดินผ่านอวี้เป่าเอ๋อร์ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความสงสาร
ประตูปิดลง อวี้เป่าเอ๋อร์เดินไปอยู่ข้างอวี้ชิงลั่วด้วยก้าวเล็ก ๆ
“มีอะไรจะบอกข้าหรือ?” นางดึงเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ยาวนุ่ม แล้วลูบใบหน้าซึมเซาเล็กน้อยของเขา
ช่วงนี้เขาทั้งกินน้อยลงและนอนน้อยลง ในที่สุดเนื้อหนังของเขาก็เริ่มหายไป ด้วยรูปร่างที่อ่อนแอเช่นนี้ อวี้ชิงลั่วก็รู้สึกกลัวจริง ๆ ว่าเขาจะตามอวี้เจี้ยนต๋าไป
แม้อวี้เจี้ยนต๋าจะไม่ค่อยใส่ใจเขามากนัก แต่อวี้เป่าเอ๋อร์ก็รักคนในครอบครัวมาก
ลองคิดดู ไม่เช่นนั้นเขาจะยังคิดถึงอวี้ชิงลั่วหลังจาก ‘ตาย’ ไปหลายปีได้อย่างไร?
“พี่สาว” อวี้เป่าเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางสุภาพ “ข้าอยากอยู่ที่จวนอวี้”
“เอ๊ะ?” อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว อยู่ที่จวนอวี้หรือ?
“ในช่วงสองสามวันนี้ ข้าเห็นชัดเจนว่าหลายคนกำลังทะเลาะกันเรื่องจวนอวี้” ดูเหมือนว่าอวี้เป่าเอ๋อร์จะเติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืน เขาพูดจามีนัยลึกซึ้งว่า “ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาแทบไม่มี ในตอนที่ท่านพ่อป่วยหนัก ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคนพวกนั้นอยู่ที่ใด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในจวนอวี้ พวกเขาทุกคนกลับออกมาแสดงตัว คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมรู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า บางคนต้องการฉวยโอกาสกอบโกยเท่านั้น ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวและท่านอ๋องมาปรากฏตัว ข้าเกรงว่าแม้แต่งานศพของพ่อก็คงไม่ได้จัดอย่างดีด้วยซ้ำ และทรัพย์สมบัติของตระกูลอวี้ก็จะถูกแบ่งออกไปหมด”
“ข้าคิดดูแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้ ข้าต้องการปกป้องจวนอวี้ที่ท่านพ่อและท่านปู่ทิ้งไว้ให้”
“พี่สาวกับท่านอ๋องไม่อาจปกป้องข้าได้ตลอดชีวิต และข้าก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างพี่สาวได้ตลอดไปโดยไม่ทำอะไรเลย”
“อีกทั้งสถานะของพี่สาวตอนนี้ ก็ไม่สะดวกที่จะออกไปจัดการเรื่องของตระกูลอวี้ได้”
เขาพูดได้ชัดเจนและมีเหตุผล อวี้ชิงลั่วโล่งใจเล็กน้อย
อวี้เป่าเอ๋อร์กำหมัดแน่น แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนมองเข้าไปในดวงตาของนางแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าจึงอยากอยู่ในจวนอวี้ เพื่อรักษาตระกูลอวี้ และปกป้องพี่สาวของข้าในอนาคต”
“…ตกลง” อวี้ชิงลั่วคิดว่านางไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย
ตอนนั้นเองที่อวี้เป่าเอ๋อร์เผยรอยยิ้มออกมา แม้มันจะไม่ได้สดใสเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เป็นรอยยิ้มเดียวของเขาที่ปรากฏในช่วงเวลานี้
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ข้าจะกลับไปหาท่านอ๋อง เพื่อจัดเตรียมคนที่เหมาะสมให้เจ้าพาไปด้วย อย่าด่วนปฏิเสธ ข้าดีใจมากที่เจ้ามีความมุ่งมั่น ทว่าตระกูลอวี้มีร้านค้ามากมายหลายแห่ง และมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนบางอย่าง เจ้ายังไม่เข้าใจว่าจะต้องจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องมีคนสอนเจ้า”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ “ส่วนเรื่องการจัดการคนรับใช้ในจวนอวี้นั้นขึ้นอยู่กับเจ้า ช่วงที่เจ้าอยู่ในจวนอวี้ ท่านพ่อน่าจะบอกเจ้าแล้วว่าใครสามารถวางใจได้ และใครควรใช้อย่างระมัดระวัง เจ้าน่าจะพอรู้อยู่ในใจบ้างแล้ว ข้าจะให้โม่เสียนและเยว่ซินอยู่กับเจ้าในจวนอวี้อีกสักสองสามวัน ไม่ว่าเจ้าต้องการจะทำสิ่งใด ก็ต้องทำด้วยความมั่นใจและกล้าหาญ”
“อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว และเจ้ามีเหรียญทองที่ฝ่าบาทประทานให้อยู่กับตัว เจ้าสามารถใช้สถานะของเจ้าทำบางอย่างได้ ใช้ได้ก็จงใช้ อย่าได้เกรงใจ”
อวี้เป่าเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”
อวี้ชิงลั่วลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แล้วพาอวี้เป่าเอ๋อร์ไปหาเย่ซิวตู๋
ไม่นานหลังจากงานศพของอวี้เจี้ยนต๋าก็เสร็จสิ้นลง อวี้เป่าเอ๋อร์ก็พำนักอยู่ที่จวนอวี้ และเริ่มเรียนรู้วิธีจัดการร้านค้า และจวนอวี้ขนาดใหญ่อย่างเป็นทางการ
บรรดาญาติเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสให้เขาได้พัฒนาตนเอง
ไม่กี่วันต่อมา โม่เสียนและเยว่ซินก็กลับมาที่ตำหนักอ๋องซิว
การต่อสู้ในวังทั้งต่อหน้าและลับหลังระหว่างเหมิงกุ้ยเฟยพระสนมเชื้อสายเหมิงและฮองเฮา ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เซียวเฟยยังคงไม่ได้สติ หมอหลวงกล่าวว่านางอาจจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาอีกเลย
ซูเฟยสั่งให้คนส่งของขวัญให้นางเพื่อแสดงความเสียใจ และไท่จื่อเฟยยังสั่งให้เย่หลานเฉิงดูแลอวี้เป่าเอ๋อร์และหนานหนานด้วย
การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรสิ้นสุดลงแล้ว และอาการบาดเจ็บของซ่างกวนจิ่นก็ค่อนข้างจะหายเป็นปกติแล้ว
เมื่อนึกถึงซ่างกวนจิ่น อวี้ชิงลั่วก็อดนึกถึงการแข่งขันชู่จวีในวันนั้นไม่ได้
นางรู้ว่าความไม่กระตือรือร้นของผู้เล่นเหล่านั้นในตอนเริ่มการละเล่น ส่วนใหญ่เป็นเพราะซ่างกวนจิ่น พวกเขาขัดต่อความตั้งใจของซ่างกวนจิ่น และเมื่อพวกเขากลับไป… ก็เห็นทีจะรอดยาก
อวี้ชิงลั่วเชื่อว่าคนอย่างซ่างกวนจิ่นสามารถทำเช่นนั้นได้
น่าเสียดายที่เด็ก ๆ เหล่านั้นมีความหลงใหลอย่างแท้จริง และพวกเขาอาจเป็นเช่นนี้เพราะได้รับการปลูกฝังในอาณาจักรจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจด้วยความหนักใจ ชาในมือของนางไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้องของหนานหนานดังมาจากนอกประตู เด็กน้อยรู้สึกหดหู่อยู่พักหนึ่งเพราะการตายของอวี้เจี้ยนต๋า ดังนั้นน้ำเสียงร่าเริงเมื่อสักครู่นี้จึงทำให้อวี้ชิงลั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
นางวางถ้วยชาลง และเมื่อนางหันไปก็เห็นหนานหนานถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่านี่คืออะไร?”
“…เป็ดย่าง แป้งทอด ผลไม้เคลือบน้ำตาล…” ทุกอย่างคืออาหาร แล้วมีอะไรให้ต้องดีใจ?
ไม่สิ ก็เพราะว่ามันเป็นอาหาร หนานหนานถึงได้ดีใจ นี่คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขาเลยนะ
“ใช่แล้ว แต่ข้าบอกท่านเลยว่าข้าไม่ได้ซื้อของเหล่านี้เอง คนอื่นให้มา”
“ใครให้มา?” อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาอย่างเกียจคร้าน เจ้าตัวเล็กนี่มักจะแสดงความน่ารักไปทุกที่ และมักจะอ้อนให้คนหาอะไรให้เขากินตั้งแต่เด็กอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? นี่มันเรื่องปกตินี่ แล้วจะให้พูดอะไรได้อีก?
หนานหนานวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วหัวเราะฮ่าฮ่า “เป็นหัวหน้ากลุ่มและผู้เล่นชู่จวีคนอื่น ๆ ของอาณาจักรจิงเหลย ที่ถูกข้าด่าไปครั้งล่าสุด”
อวี้ชิงลั่วตกตะลึง พวกเขาไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?
“ท่านแม่ ข้าคิดว่าพวกเขาแปลกจริง ๆ พวกเขาถูกข้าด่าในวันนั้น แต่เมื่อข้าพบพวกเขาที่ถนนในวันนี้ พวกเขากลับบอกว่าต้องการจะขอบคุณข้า และพวกเขายังพูดคำพูดแปลก ๆ อีกมากมาย หากพวกเขามีความสัมพันธ์กับข้า แล้วอุปราชจะไม่ฆ่าพวกเขาหรือ แม้ว่าพวกเขาควรจะถูกลงโทษ แต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี เอ๊ะ พวกเขาไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้ยินมาจากไหนว่าข้าชอบกินมาก พวกเขาจึงไปซื้อของอร่อย ๆ มากมายมาให้ข้ากิน”
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกเหมือนมีคนทรยศข้า ด้วยการบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ของข้าให้คนอื่นฟัง แม้ว่าข้าจะมีความสุขมากเมื่อมีคนให้ของแก่ข้า แต่ข้าก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป”
อวี้ชิงลั่วกุมขมับ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเขาชอบกินไม่ใช่หรือ? ยังเรียกว่าเป็นความเป็นส่วนตัวได้อีกหรือ?
อย่างไรก็ตาม ฟังจากที่หนานหนานพูดแล้ว ซ่างกวนจิ่นไม่ได้ทำให้ผู้เล่นเหล่านั้นลำบาก เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เผด็จการเสมอไป ตราบใดที่ผู้คนเชื่อฟังคำสั่งของเขา
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่นางไม่รู้ว่าต่อให้ผู้เล่นเหล่านั้นไม่เป็นอะไร แต่มีอีกคนหนึ่งที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ประหนึ่งอยู่บนขอบเหวที่กั้นระหว่างความเป็นความตายอยู่
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พอใต้เท้าอวี้ไม่อยู่แล้ว บรรดาญาติที่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นก็มากันใหญ่เลยน้า
เป็นใครกันนะที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ไหหม่า(海馬)