อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 573 แผนระยะยาว
ตอนที่ 573 แผนระยะยาว
ตอนที่ 573 แผนระยะยาว
ชายผู้นั้นวิ่งห้อไปตลอดทาง และชะลอความเร็วลงหลังจากพุ่งเข้าสู่ตำหนักอี๋ซิ่ง
เมื่อเหมิงกุ้ยเฟยที่กำลังกินบ๊วยดองเย็นทรงเครื่องอยู่บนเก้าอี้ยาวนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงประตูเปิด นางก็เงยขึ้นเล็กน้อยแล้วถามเบา ๆ ว่า “วันที่อากาศร้อนเช่นนี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?”
“แน่นอนว่าข้าไปฟังความลับมา” ชายคนนั้นสวมชุดขันที แต่เขาไม่ได้แสดงความเคารพใด ๆ เขายกเก้าอี้ตรงข้ามเขามานั่ง แล้วนั่งไขว้ขาดื่มชา
เหมิงกุ้ยเฟยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินคำว่าความลับที่เขาเอ่ยขึ้น นางก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าไปได้ยินเรื่องที่น่าสนใจมาหรือ?”
“ไม่เพียงแค่น่าสนใจเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ท่านอาจจะมีงานยุ่งอีกก็ได้”
“พอได้แล้ว รีบพูดมา อย่ามัวชักช้า” เหมิงกุ้ยเฟยโบกมือ แล้วจ้องมองเขา
เหมิงพั่วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอนตัวพิงขอบโต๊ะอย่างเกียจคร้าน จิบน้ำอีกหนึ่งอึกก่อนพูดช้า ๆ “เย่ฮ่าวหรานออกจากเมืองหลวงไม่ใช่เพราะได้รับมอบหมายภารกิจจากฝ่าบาท ทว่า…เป็นเพราะหนีตามสตรีผู้หนึ่งไป”
เหมิงกุ้ยเฟยเบิกตากว้างและรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที นางผุดลุกขึ้น แล้วถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เจ้าพูดว่าหนีตามกันหรือ?”
“ใช่” เหมิงพั่วยักไหล่ “และฝ่าบาทก็น่าจะทรงทราบเรื่องนี้แล้ว แต่นี่เป็นข่าวอื้อฉาวในราชวงศ์ ที่อาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นฝ่าบาทจึงใช้ข้ออ้างมาอธิบายว่าเย่ฮ่าวหรานออกไปทำภารกิจ”
เหมิงกุ้ยเฟยหัวเราะ แล้วแสยะยิ้มเย้ยหยัน “เขาช่างฉลาดเสียจริง”
“สิ่งที่น่าสนุกกว่านั้นคือหว่านเฟยที่ส่งคนไปไล่ล่าพวกเขา จุ๊จุ๊…” เหมิงพั่วส่ายศีรษะ แล้วเล่าสิ่งที่เขาได้ยินมาตอนอยู่บนหลังคา
“ปัง” ทันใดนั้นเหมิงกุ้ยเฟยก็ตบโต๊ะ สายตาพลันคมกริบ
“หว่านเฟยเช่นนั้นหรือ? ข้าคาดไม่ถึงเลยว่านางจะมีความคิดแยบยลถึงเพียงนี้ ทุกคนในวังต่างหลงกลกับภาพลวงตาของนางทั้งสิ้น”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เหมิงพั่วก็ไม่ค่อยพอใจเช่นกัน “ตอนที่ข้าเข้าหาเซียวเฟย ข้าก็เชื่อว่าเซียวเฟยเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่คิดเลยว่าหว่านเฟยจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้”
เหมิงกุ้ยเฟยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เหมิงพั่วพูดถูก นางต้องยุ่งอีกแล้ว
แม้การจัดการกับฮองเฮาจะยากลำบากมากอยู่แล้ว แต่หว่านเฟยก็เป็นดั่งเนื้อร้ายที่พร้อมคร่าชีวิตคนได้ทุกเมื่อ นางจึงไม่อาจข่มตาหลับได้สนิทเป็นแน่
เหมิงพั่วเหลือบมองนาง แล้วถามว่า “ทำไมหรือ ท่านมีความคิดอะไรหรือไม่?”
“ยังไม่มี แต่ตอนนี้ข้าอยากเจอใครบางคน” เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง มุมปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นชา
‘ฟึ่บ’ นางวางบ๊วยดองเย็นทรงเครื่องที่นางถือไว้ในมือลงบนโต๊ะ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากห้องไปทันที
ทิศทางที่นางเดินไปนั้นเป็นเรือนหลังเล็กที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตำหนักอี๋ซิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าประตูเรือนนั้น
เหมิงพั่วก้าวเข้าไปเปิดประตู ทันทีที่แสงจากภายนอกส่องเข้ามา บ้านทั้งหลังก็สว่างขึ้น
เฟยเกอที่กำลังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงตกใจ เมื่อมองร่างทั้งสองเดินตามกันเข้ามา นางก็ลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเหมิงกุ้ยเฟยทันที แล้วพูดเบา ๆ ว่า “พระสนม”
“อืม เจ้านอนพักฟื้นบนเตียงต่อไปเถิด เราแค่จะมาหานาง”
เฟยเกอพยักหน้า แล้วถอยหลังเปิดทางให้ด้วยความเคารพ ก่อนเดินไปที่ผนังด้านหนึ่ง จากนั้นก้มลงหมุนกลไกใต้เตียง
กำแพงส่งเสียงกึกก้อง หลังจากนั้นไม่นานประตูก็ปรากฏขึ้นบนกำแพงทึบในตอนแรก เผยให้เห็นห้องลับอยู่ข้างใน
และตรงกลางห้องลับ คนที่ถูกมัดติดอยู่กับเสาไม้ในขณะนี้คือเจี่ยนเซียงที่เย่หว่านเยียนบอกว่าหายตัวไป
เจี่ยนเซียงดูซีดเซียวมาก ผมของนางกระเซอะกระเซิงและเสื้อผ้าก็ขาดวิ่น สภาพของนางไม่เหลือเค้าของนางข้าหลวงชั้นหนึ่งที่คอยอยู่ข้างกายเหมิงกุ้ยเฟยในอดีตอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียง นางก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น หลังจากเหลือบไปเห็นคนตรงหน้าก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วนางก็พูดด้วยเสียงแหบพร่า “หม่อมฉัน ถวายบังคมพระสนม ขอสิริมงคลเกิดแก่พระสนม”
“มงคลหรือ? หากเจ้าไม่บอกความจริงกับเรา แล้วสิริมงคลจะเกิดแก่เราได้อย่างไร?” เหมิงกุ้ยเฟยก้าวเข้าไปบีบคางของนาง และบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้าตน
เจี่ยนเซียงรู้สึกอึดอัดมาก แต่นางยังคงพยายามเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน “พระสนม หม่อมฉันบอกท่านทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้แล้ว และสิ่งที่หม่อมฉันพูดเป็นความจริง”
“ความจริงหรือ? เช่นนั้นก็บอกเรามา หว่านเฟย… เป็นเจ้านายตัวจริงของเจ้าใช่หรือไม่? เจ้านายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือเซียวเฟยหรือหว่านเฟย?”
รูม่านตาของเจี่ยนเซียงหดตัวเล็กน้อย แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความเศร้าอย่างไร้เดียงสาว่า “เจ้านายของหม่อมฉันคือเซียวเฟย พระสนมมิได้ทราบอยู่แล้วหรอกหรือ? ที่วัดหลิงไท่ในวันนั้น หม่อมฉันฟังคำสั่งของพระสนม และร่วมมือกับเซียวเฟยพาองค์หญิงไป และเซียวเฟย… โอ๊ย…”
เหมิงกุ้ยเฟยออกแรงกดนิ้ว เล็บยาวของนางจึงจิกเข้าไปในเนื้อของเจี่ยนเซียง
“ดูเหมือนว่าเจ้ายังปฏิเสธที่จะพูดความจริง” เหมิงกุ้ยเฟยเย้ยหยัน “เราก็รู้สึกว่ามันแปลกพิกลอยู่ที่ผู้บัญชาการฝูเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เหตุใดเจ้าถึงยอมร่วมมือกับเราง่ายดายนัก ปรากฏว่าเจ้าหลอกลวงเรามาตั้งแต่แรกนี่เอง เหมิงพั่ว เอาแส้มานี่”
เหมิงพั่วเชื่อฟังมาก เขารีบหยิบแส้จากด้านข้างมาส่งให้นางกับมือทันที
เหมิงกุ้ยเฟยรู้สึกโกรธมาก นางฟาดเจี่ยนเซียงด้วยแส้อย่างดุเดือด
เจี่ยนเซียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคร่ำครวญด้วยความคับข้องใจ “พระสนม หม่อมฉันถูกใส่ร้าย หยุดตีเถิด เจ็บ”
“หว่านเฟยมีกลอุบายแยบยล พวกเจ้าทุกคนเตรียมตายไปพร้อมนางทีละคนเถิด” เมื่อนึกถึงความทรยศของนางแล้ว เหมิงกุ้ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น และยิ่งฟาดแรงกว่าเดิม
บัดนี้นางไม่ได้คาดหวังให้เจี่ยนเซียงตอบอะไรอีกต่อไป นางเพียงแค่ใช้แส้ฟาดเพื่อระบายโทสะที่สะสมอยู่ในใจมานาน
“เพียะ”
“เพียะ”
“เพียะ”
เจี่ยนเซียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เหมิงกุ้ยเฟยยังคงบันดาลโทสะ ขณะที่เหมิงพั่วยืนอยู่ข้างนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จนกระทั่งเจี่ยนเซียงทนไม่ไหวและหมดสติไป เขาจึงก้าวเข้าไปหยุดเหมิงกุ้ยเฟย “เอาล่ะ ฟาดต่อไปก็เปล่าประโยชน์ หากเราต้องการเค้นอะไรจากปากของเจี่ยนเซียง เราต้องหาจุดอ่อนของนาง”
เหมิงกุ้ยเฟยหอบหายใจ แล้วเหวี่ยงแส้ลงกับพื้นอย่างแรง
“เจ้าพูดถูก คนเรามักมีจุดอ่อน เมื่อข้ารู้สิ่งที่ข้าอยากรู้จากปากของเจี่ยนเซียง ข้าจะทำให้ชีวิตของหว่านเฟยเลวร้ายยิ่งกว่าความตายแน่นอน แล้วก็อวี้ชิงลั่วและคนอื่น ๆ…”
“อย่าจัดการกับทางตำหนักอ๋องซิวในตอนนี้” เหมิงพั่วขัดจังหวะคำพูดของเหมิงกุ้ยเฟย
เหมิงกุ้ยเฟยประหลาดใจ “เพราะเหตุอันใด?”
“อีกสองวันข้าจะไปเยี่ยมเผ่าเหมิง ส่วนเรื่องทักษะของเจ้าตัวเล็กนั่น ข้าจะวางแผนระยะยาวหลังจากเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว”
เหมิงกุ้ยเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มปากและพยักหน้า
ทั้งสองเหลือบมองเจี่ยนเซียงอีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องลับ
ในเวลาเดียวกัน เย่ฮ่าวหรานที่ออกมาจากตำหนักของหว่านเฟย ก็เดินออกจากประตูวังด้วยความสับสน
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนวังหลังนี่มันฟาดฟันกันดุเดือดจริงๆ แฮะ ตัวเองจัดการอีกฝ่ายไม่ได้ก็ใช้ให้คนอื่นไปจัดการแบบลับ ๆ
ไหหม่า(海馬)