อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 578 นางเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าจริงๆ
ตอนที่ 578 นางเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าจริงๆ
ตอนที่ 578 นางเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าจริงๆ
ฮ่องเต้ประหลาดใจ หรี่พระเนตรแล้วถามเขา “เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”
“ขอความช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
“…” ฮ่องเต้พ่นลมเป่าพระทาฐิกะ(เครา) ผินพระพักตร์ไปอย่างโมโห “พูดไปพูดมาก็ยังเป็นการกล่าวแทนท่านอาแปดของเจ้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาพูดแทนท่านน้าจิน”
น้าจินหรือ แซ่จินอย่างนั้นหรือ หญิงสาวที่หนีไปกับเจ้าแปดผู้นั้นใช่หรือไม่
เหอะ หนีตามบุรุษ ช่างไร้ศีลธรรมและไร้ยางอายเสียนี่กระไร แล้วเขาจะให้อภัยนางได้หรือ?
“เจ้ากลับไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นอาแปดของเจ้า หรือหญิงสาวแซ่จินผู้นั้น ข้าก็ให้อภัยไม่ได้ง่ายๆ หรอก” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหนานหนานอย่างโกรธเกรี้ยวแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ขมวดพระขนง
เจ้าตัวเล็กนี่เรียกนางว่าน้าจิน? ดูท่าหญิงนางนี้จะเอาใจเขาไม่น้อย มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาใช่หรือไม่?
เช่นนั้นแล้ว… ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลอันใดจากทางเขาได้บ้าง
คิดได้เช่นนั้นฮ่องเต้ก็ทำพระทัยให้สงบลง ประทับบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรอย่างลุ่มลึกไปยังหนานหนาน
“เจ้าเรียกนางว่าน้าจินหรือ? เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นบุตรีจากจวนใด? นางชื่ออะไร?” เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ส่งคนไปสืบมาแล้ว แต่ผู้พิทักษ์ทมิฬที่เขาส่งไปได้สำรวจบ้านตระกูลจินทั้งนอกและในตัวเมืองทั้งหมดแล้ว กลับไม่เจอเลยว่ามีหญิงสาวเช่นนี้อยู่ด้วย
เจ้าแปดนั่นเป็นคนเก็บความลับ ไม่กล่าวถึงประวัติที่มาของหญิงสาวผู้นั้นเลย
“อีกอย่าง นางไปรู้จักกับเจ้าแปดตั้งแต่เมื่อไรกัน เรื่องพวกนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
หนานหนานกลอกตา เสด็จปู่ต้องการรู้เรื่องของท่านน้าจินจากเขาสินะ
“กระหม่อมไม่รู้ว่าน้าจินมาจากจวนใด แต่กระหม่อมรู้ว่าท่านน้าจินเก่งมากๆ” หนานหนานเพียงกล่าวถึงจินหลิวหลี ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งตื่นเต้น บิดตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะฮิๆ พลางกล่าว “ท่านน้าจินช่วยกระหม่อมไว้สองครั้ง ทั้งยังช่วยท่านแม่อีกหนึ่งครั้ง นางเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของกระหม่อมกับเสด็จแม่”
“ช่วยเจ้าไว้หรือ” ฮ่องเต้ประหลาดใจ
เขาคิดว่าแม่นางแซ่จินผู้นั้นใช้อำนาจของเจ้าแปด จึงทำให้หนานหนานเรียกนางว่าท่านน้าได้ ส่วนซิวเอ๋อร์ก็ปกป้องนางเพียงเพราะเห็นแก่เจ้าแปดเท่านั้น
ตอนนี้ดูท่าแล้วจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เรื่องที่หนานหนานกล่าวดูแล้วจะไม่ใช่เรื่องโกหก
แววตาของเขาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกเคารพรักใคร่
“เสด็จปู่ หากไม่มีท่านน้าจิน พระองค์อาจจะทรงไม่ได้เห็นหน้าหนานหนานอีกก็เป็นได้” หนานหนานเอียงศีรษะ หัวเราะฮิๆ แต่ความนัยกลับมีความจริงจังอยู่ “ท่านพ่อและท่านแม่สอนกระหม่อมว่า คนเราจะต้องรู้จักบุญคุณ เช่นนั้นจึงจะสมเป็นลูกผู้ชายพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้แข็งทื่อในทันใด
“ท่านน้าจินช่วยกระหม่อมไว้สองครั้ง กระหม่อมจะละเลยนางไปไม่ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ พระองค์ก็คงไม่ทรงอยากให้หนานหนานเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรม ไม่เช่นนั้นกระหม่อมจะไม่มีมโนธรรมน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เมื่อครู่เจ้าเพิ่งกล่าวว่า ผู้ที่กระทำผิดควรได้รับการลงโดนลงโทษนี่” ฮ่องเต้พ่นพระปัสสาสะอย่างเย็นชา “น้าจินของเจ้าผู้นั้นทำผิดไว้ไม่น้อย”
“นางเป็นผู้ช่วยชีวิตจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” หนานหนานกล่าวอย่างจริงจัง
ฮ่องเต้เริ่มปวดพระเศียรขึ้นมา “มันเป็นคนละเรื่องกัน”
หนานหนานยืนยันอย่างหนักแน่น “นางเป็นผู้ช่วยชีวิตของกระหม่อมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ทรงไม่รักกระหม่อมหรือ”
ฮ่องเต้อุ้มเขาลงจากโต๊ะ “กลับไปๆ เจ้ากลับไปเสีย”
การกล่าวถึงเหตุและผลกับหนานหนานก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง หากโมโหใส่เขาอย่างเสียไม่ได้อีก เขาก็จะยิ่งไม่สนใจเรื่องกฎเกณฑ์และมารยาทเหล่านั้น
หนานหนานถูกดันออกไปสองก้าว ก็ค่อยๆ หันกลับมาอีกครั้ง “เสด็จปู่ ท่านน้าจินสุดยอดมากพ่ะย่ะค่ะ นางไม่ใช่คนธรรมดาเลย” อืม เขาหมายถึงวิชากังฟู
จู่ๆ ในพระทัยฮ่องเต้ก็สะดุดกึก ทันใดนั้นก็เปล่งสุรเสียงอย่างเย็นชา “สุดยอดถึงเพียงไหนก็คงไม่เท่าราชวงศ์กระมัง” เขาคิดว่าหมายถึงชาติตระกูล
“นางจึงเป็นคนที่ช่วยชีวิตกระหม่อมจริงๆ อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“…” ฮ่องเต้หันพระวรกายกลับไป ไม่เต็มใจจะพูดคุยกับเขาอีกแม้แต่ประโยคเดียว
หนานหนานถอนหายใจเบาๆ “เสด็จปู่ไม่ทรงลองคิดเรียกเหมียวกงกงกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเขายังอยู่ที่ตำหนักอ๋องซิวอาจจะถูกท่านพ่อและท่านแม่จัดการจนไม่เหลือชิ้นดีก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่ได้กำลังกล่าวเพื่อข่มขวัญเลยสักนิด
ในเรื่องนี้ ฮ่องเต้เองก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
ขณะกำลังครุ่นคิด ก็มีเสียงอันเร่งรีบดังขึ้นมาในทันที
มีเสียงร้องตระหนกตกใจของขันทีดังมาจากด้านนอก “ฝ่าบาทๆ หว่านเฟยเหนียงเหนียงทรงเป็นลมไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตะลึง ขมวดพระขนงแล้วลุกขึ้นในทันใด ประตูห้องตำราหลวงเปิดออก ก็เห็นหว่านเฟยที่สีหน้าขาวซีด เหงื่อแตกพลั่ก ซบอยู่ในอกนางในผู้หนึ่ง
เบ้าตาของคนที่อยู่ข้างๆ ดูร้อนรนและแดงก่ำ ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
เมื่อฮ่องเต้เห็นท่าทางของหว่านเฟย ก็ยิ่งโมโหอย่างอดไม่ได้ “จะมัวตกตะลึงอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบไปเชิญหมอหลวงมาอีก”
กล่าวจบก็สั่งให้สองสามคนพยุงหว่านเฟยไปพักที่ห้องโถง
สือม่าน นางในคนสนิทของหว่านเฟยคอยเช็ดเหงื่อให้นาง พลางกล่าวอย่างอึกอัก “ช่วงก่อนหน้านี้เหนียงเหนียงทรงบาดเจ็บที่วัดหลิงไท่เพคะ กว่าจะอาการดีขึ้นนั้นไม่ง่ายเลย ช่วงนี้ก็ทรง…”
เพียงฮ่องเต้ได้ยินประโยคนี้ ในพระทัยก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ครั้งก่อนที่วัดหลิงไท่ คนที่ต้องตระหนกตกใจนอกจากเซียวเฟยที่กำลังนอนหมดสติอยู่แล้ว ก็ยังมีหว่านเฟยและเฉินเฟย เขาไปเยี่ยมเซียวเฟยและเฉินเฟยมาหมดแล้ว แต่กลับไม่เคยไปเยี่ยมหว่านเฟยเลย
เพียงคิดว่าอาการตระหนกของนางนั้นไม่ได้หนักหนา ตัวคนเองก็ปลอดภัยดี จึงทำเพียงส่งคนไปสอบถามอาการเท่านั้น
ดูท่าทางช่วงนี้นางจะป่วยเสียแล้ว ทุกวันนี้ก็เพราะมีเรื่องของเจ้าแปด…
ฮ่องเต้ลอบถอนพระทัยอยู่ในใจ หันไปก็เห็นหมอหลวงถือกล่องยาเข้ามาอย่างเร่งรีบ
หว่านเฟยนั้นเป็นลมแดด ถึงแม้แดดตอนช่วงเย็นจะไม่แรง แต่สำหรับร่างกายของหว่านเฟยที่มักจะอยู่แต่ที่สงบๆ จะทนความร้อนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง ความร้อนบนแผ่นหินนั้นก็ร้อนเสียจนสามารถลวกเข่าของคนคนหนึ่งให้บาดเจ็บได้
ฮ่องเต้นึกถึงตรงนี้แล้ว ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดพระขนงเป็นปม
หลังจากหมอหลวงกลับไป ฮ่องเต้ก็ให้สือม่านและคนอื่นๆ ให้คอยดูแลให้ดีๆ ส่วนตนก็เสด็จไปยังที่ห้องขังของเย่ฮ่าวหราน
ไม่รู้ว่าเขาและเย่ฮ่าวหรานคุยอะไรกัน ระหว่างทางกลับมา เขาก็ให้เปาเหอเฟิงไปที่ตำหนักอ๋องซิวเพื่อพาเหมียวกงกงกลับมา
เปาเหอเฟิงแปลกใจ เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่สั่งให้นำตัวแม่นางสกุลจินผู้นั้นกลับมาเสียแล้ว
แต่ถึงแม้ในใจของเขาจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอันใดแล้วหันหลังออกจากวังไป
ฮ่องเต้เสด็จกลับไปที่ห้องตำราหลวงอีกครั้ง กลับพบว่าหนานหนานยังคงอยู่
มองหนานหนานที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงมุมห้องไม่รู้ว่ากำลังคุยกับอะไรอยู่อย่างแปลกใจ มุมพระโอษฐ์ก็กระตุกขึ้นมา
“เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ข้าให้คนไปส่งเจ้ากลับแล้วไม่ใช่หรือ” ฮ่องเต้เดินเข้าไป มองข้ามศีรษะของเขา ก็พบว่าที่พื้นมีหอยทากอยู่ กำลังค่อยๆ ไต่ขึ้นไปด้านหน้า
เด็กน้อยมองมันกำลังไต่ขึ้นไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้สองมือเท้าคางแล้วโน้มตัวไปเล็กน้อย คนทั้งคนขยับไปตามหอยทาก เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนเข้ากับเสาที่ข้างๆ กำแพง ฮ่องเต้ก็รีบดึงเขาขึ้นมา
“หนานหนาน เจ้ากำลังทำอันใดอยู่”
ท้องนภามืดถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่กลับไปอีก
เมื่อหนานหนานเห็นเขา แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา รีบกล่าวอย่างเสียใจทันที “กระหม่อมรอเสด็จปู่อยู่นานมาก ตอนนี้หิวแทบตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มาทำงานเกลี้ยกล่อมเสด็จปู่ทั้งทีก็ยังไมพ้นเรื่องกินนะหนานหนาน
ไหหม่า(海馬)