อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 579 เป็นที่กล่าวถึง
ตอนที่ 579 เป็นที่กล่าวถึง
ตอนที่ 579 เป็นที่กล่าวถึง
ตอนนี้แม้แต่พระนลาฏของฮ่องเต้ก็กระตุกไปด้วยเช่นกัน
“ข้าให้เจ้ากลับไปยังตำหนักอ๋องซิวแล้วมิใช่หรือ”
หนานหนานส่ายหน้า “กระหม่อมอยากกินอาหารชาววังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ประหลาดพระทัย อยากกินอาหารชาววังคืออันใดกัน เห็นๆ อยู่ว่ากลัวเขาจะออกพระราชโองการอันใดต่อแม่นางสกุลจินผู้นั้นอีก
เด็กน้อยผู้นี้อายุยังน้อย แต่กลับใช้ความคิดได้เก่งจริงๆ
ไม่ได้การ เขาจะต้องหาวิธีให้ซิวเอ๋อร์มาอยู่ในตำแหน่งนี้ให้ได้ อนาคตของอาณาจักรเฟิงชาง ถ้าหากว่ามีซิวเอ๋อร์และหนานหนานเป็นผู้มาจัดการ เกรงว่าจะต้องแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรอื่นๆ เป็นแน่
ไม่เช่นนั้นในบรรดาองค์ชายเหล่านี้… มีผู้ใดที่จะสามารถเป็นคู่ต่อกรของซ่างกวนจิ่น ฉีหานเว่ยและองค์ชายรองได้บ้างเล่า
ซิวเอ๋อร์เป็นผู้มีไมตรีจิต บางทีเรื่องของเจ้าแปดในครั้งนี้ อาจจะนำมาทำให้เป็นที่กล่าวถึงได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อาการปวดพระเศียรของฮ่องเต้ก็ลดลงไปไม่น้อย ทอดพระเนตรหนานหนานผู้ไร้เดียงสาอีกครั้ง ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบที่ศีรษะของเขา
จากนั้นก็หันกลับ แล้วตรัสกับขันทีผู้น้อยที่อยู่ข้างๆ “ให้ห้องเครื่องเสวยเตรียมอาหารมา”
หนานหนานหัวเราะฮิๆ แล้วเดินตามเขาไปเพื่อกินอาหาร ได้กลับมาที่วังหลวงนี้พักใหญ่ อาหารชาววังเหล่านี้เมื่อได้กินแล้วช่างแตกต่างเสียจริงๆ
หนานหนานมีความสุขมาก อย่างไรเสียท่านพ่อก็บอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องรีบกลับตำหนักอ๋องซิว เช่นนั้นเขาก็อยู่ที่วังหลวงอีกสักสองสามวันดีกว่า
ทางด้านไทเฮาเมื่อรู้ว่าหนานหนานอยู่ที่วัง ก็รีบให้ลวี่ฝูมาพาเจ้าเด็กน้อยไปหาในทันที
ช่วงเวลานี้เหล่าเหนียงเหนียงในวังหลวงต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อำนาจในการจัดการเรื่องของเหล่าสนมนั้นจึงตกอยู่ในมือของไทเฮาเป็นการชั่วคราว เหล่าเสือสิงห์ดุร้ายต่างก็จับตาดูพระนาง ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้มีคนไปมาหาสู่ ช่วงนี้กลับขยันมาหา นี่ก็ทำให้พระนางปวดพระเศียรได้เช่นกัน
เมื่อได้ยินว่าหนานหนานเข้าวัง ก็ยินดีเป็นอย่างมาก
ทุกครั้งที่ไทเฮาได้พบเด็กน้อยคนนี้ มักจะรู้สึกว่าสบายพระทัยขึ้นมาก ในวังที่น่าอึดอัดนี้ หาได้ยากที่จะพบคนที่มีชีวิตชีวา
พระนางเองก็เหมือนฝ่าบาทที่โปรดปรานในตัวเด็กคนนี้
ในวันนั้นหนานหนานค้างคืนที่ตำหนักไทเฮา เหล่าขันทีและนางในที่ตำหนักนั้นต่างก็รับใช้เขาอย่างดี เขาพักได้อย่างสบายใจมาก
ส่วนฮ่องเต้ก็พำนักอยู่ที่ตำหนักของหว่านเฟย
เมื่อเหมิงกุ้ยเฟยได้ทราบข่าวนี้ก็ทำได้เพียงแค่นหัวเราะไม่หยุด จากนั้นก็ไปพบเจี่ยนเซียงครั้งหนึ่ง
เจี่ยนเซียงนั้นหมดแรงราวกับตายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งร่างมีแต่คราบเลือด แต่กลับไม่ปริปากกล่าวอันใดเลยแม้แต่น้อย ส่วนเหมิงพั่วก็สืบหาจุดอ่อนของเจี่ยนเซียงและยังไม่กลับมา
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ยังคงไปที่สนามแข่งขัน ยังคงพูดคุยเรื่องจุดแข็งและจุดอ่อนของผู้เล่นของแต่ละอาณาจักรกับฉีหานเว่ย องค์ชายรองและคนอื่นๆ ต่อไป
ฉีหานเว่ยและองค์ชายรองก็ราวกับว่าไม่มีอะไรทำ ดูการแข่งขันเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ถึงแม้พวกเขาจะได้ข่าวเรื่องเย่ฮ่าวหรานที่ถูกจับขังคุกแล้วเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าเย่ฮ่าวหรานทำผิดอันใดมา
ส่วนเย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เหมียวเชียนชิวจากไปแล้ว ระหว่างนี้ฮ่องเต้ก็ไม่มีความคิดจะส่งคนมาจับกุมอันใดอีก
เรื่องนี้เองก็ยังแปลกๆ ดูเหมือนฮ่องเต้อยู่ๆ ก็เย็นพระทัยลงเสียอย่างนั้น
เย่ซิวตู๋สอบถามเปาเหอเฟิง เปาเหอเฟิงแจ้งเพียงว่าหลังจากฮ่องเต้ไปพบกับองค์ชายแปด ก็สั่งให้เหมียวกงกงกลับไป
จินหลิวหลีฟื้นขึ้นมาเป็นระยะ ทุกครั้งที่ฟื้นก็ไม่พบเย่ฮ่าวหรานเลย นางรู้สึกว่ามันแปลก
อวี้ชิงลั่วเพียงแต่โกหกนาง “ตอนที่เขาอุ้มเจ้ามานั้นก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน เสียเลือดมากอีกทั้งยังวิตกเกินไป เลือดลมผันผวน ร่างกายเองก็บาดเจ็บ ข้าตรวจสอบอาการให้เขา อีกทั้งยังจ่ายยา จากนั้นก็ปล่อยให้เขาได้พัก ร่างกายของเขาก็เหมือนเจ้านั่นล่ะ ต้องได้รับการดูแลอย่างดี เย่ซิวตู๋ให้คนคอยเฝ้าเขาอยู่ ไม่ให้เขาลงจากเตียงแล้วออกไปไหน”
“แต่เขาเองก็ใช่ว่าจะวางใจเรื่องเจ้านะ ดังนั้นข้าจึงให้เขามาเยี่ยมเจ้าได้ทุกวัน วันละครึ่งชั่วยาม เจ้านอนหลับหมดสติอยู่ จึงไม่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาอย่างไรเล่า จิ๊ๆ เย่ฮ่าวหรานนี่ช่างรักเจ้ามากเสียจริงๆ”
ริมฝีปากขาวซีดของจินหลิวหลีฝืนฉีกยิ้ม ตอนนี้นางบาดเจ็บหนัก ร่างกายอ่อนแอไปมาก
ได้ยินเสียงสดใสของอวี้ชิงลั่ว ดวงตาอันเป็นประกาย นางก็ค่อยๆ เอ่ยปาก “ขอโทษ”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว จินหลิวหลีฟื้นขึ้นมากี่ครั้งก็เอาแต่กล่าวคำนี้กับนาง ทำเอานางไม่สบายใจยิ่งนัก
“เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”
จินหลิวหลีอ้าปาก คิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หยุดชะงักไป
หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง สุดท้ายก็เหมือนกับว่าตัดสินใจได้เสียที กล่าวเสียงเบา “เจ้า ตลอดมาเจ้าระวังหว่านเฟยเหนียงเหนียงมาตลอด…”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจ เรื่องของหว่านเฟย หลังจากเย่ซิวตู๋กลับมาก็บอกกล่าวกับนางเป็นอย่างแรก ไม่ว่าใครจะต้องการทำร้ายนาง เย่ซิวตู๋ก็จะเอามาบอกนางก่อน ให้นางคอยระวังไว้ ไม่ให้ถูกใครทำร้ายเอาได้
“วันนั้นที่เฉินจีซินแม่ลูกถูกฆ่า ข้าให้เจ้ากลับไปกับฆาตกรผู้นั้น” อวี้ชิงลั่วกล่าวเบาๆ “จากนั้นเจ้าก็บาดเจ็บกลับมา ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าตกอยู่ในภวังค์ เจ้ากล่าวแต่เพียงว่าได้ยินเรื่องที่เซียวเฟยชอบเย่ฮ่าวหราน จึงได้รับผลกระทบไปด้วย”
“แล้วต่อมา เจ้าก็หนีไปกับเย่ฮ่าวหรานอย่างอธิบายไม่ได้ ข้าแปลกใจมาโดยตลอด ถึงแม้จะรู้ความคิดนั้นของเซียวเฟย ก็ไม่น่าทำให้เจ้าเสียสติไปเช่นนั้นกระมัง ตอนนี้ข้ามาลองคิดดู เจ้าน่าจะได้ยินว่าหว่านเฟยและเซียวเฟยคุยกันใดกัน และได้ยินว่าเรื่องพวกนั้นเป็นหว่านเฟยที่จัดฉาก”
จินหลิวหลีฝืนยิ้มจนตาปิด “ใช่ จริงๆ แล้ววันนั้นฆาตกรผู้นั้นไปพบกับหว่านเฟย คนที่ต้องการให้เย่ฮ่าวหรานตกอยู่ในสภาพนั้นก็คือนางจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี คิดได้เพียงต้องพาเย่ฮ่าวหรานไปจากเมืองนี้ บางที… อาจจะได้ผลดีที่แตกต่างออกไปก็เป็นได้”
“ชิงลั่ว ขอโทษด้วย ข้าปกปิดเรื่องนี้จากเจ้า”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจ “ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำนั้นแล้ว ถึงแม้หว่านเฟยต้องการจะทำร้ายพวกเราหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยสำเร็จ แต่เจ้ากลับทำให้ตนไปตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้”
จินหลิวหลียิ้ม ผ่านไปไม่นานก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วให้แม่นมเซียวคอยดูแลนาง จากนั้นก็ลุกออกจากห้องไป
หงเย่ที่รออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นนางออกมาก็กล่าวเสียงเบา “เมื่อครู่เสิ่นอิงมาเพคะ กล่าวว่าไทเฮาทรงโปรดปรานซื่อจื่อน้อย ทั้งยังต้องการให้พระองค์พำนักอยู่ที่ตำหนักสองสามวันเพคะ”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แสดงออกว่ารับรู้แล้ว
สิ่งเดียวที่นางกังวลในตอนนี้ก็คือจินหลิวหลี เรื่องที่เย่ฮ่าวหรานถูกจับนั้นจะให้ปกปิดไปสองสามวันย่อมไม่มีปัญหา แต่จินหลิวหลีนั้นไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้เป็นเพราะนางงัวเงียอยู่เท่านั้น จึงทำให้คิดอันใดยังไม่ออกว่าเย่ฮ่าวหรานไปไหนเสียแล้ว
รอให้นางมีสติเสียก่อนเถอะ คงระเบิดอารมณ์ไม่น้อยเป็นแน่
อีกทั้งยังมีอาการในใจของนาง ตอนแรกนางปกปิดเรื่องหว่านเฟยไม่ยอมบอก อีกทั้งยังรู้เรื่องที่เซียวเฟยจะจัดการนางที่วัดหลิงไท่ ตอนนี้จึงรู้สึกผิดอย่างมาก
ความกังวลใจสองอย่างนี้เมื่อรวมกันแล้ว คงจะทำให้อาการบาดเจ็บยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว อวี้ชิงลั่วก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่พูดถึงเรื่องจับกุมตัวจินหลิวหลีอีก ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงยิ่งเลวร้ายไปใหญ่
ในตอนที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในภวังค์นั้นเอง โม่เสียนก็วิ่งเหงื่อตกตรงเข้ามา “แม่นางอวี้ ท่าไม่ดีแล้วขอรับ”
“ทำไมหรือ”
“ฝ่าบาททรงถูกวางยาพิษ หนานหนาน หนานหนานอยู่กับฝ่าบาทขอรับ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าววว ใครเป็นคนลอบวางยาฮ่องเต้อีกล่ะเนี่ย ไม่ใช่ว่าโยนความผิดมาให้หนานหนานนะ
ไหหม่า(海馬)