อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 58 จดหมายจากเมืองหลวง
ตอนที่ 58 จดหมายจากเมืองหลวง
เงาสายหนึ่งกระโดดขึ้นรถม้าอย่างแผ่วเบาตามมาติด ๆ
อวี้ชิงลั่วโยนกระเป๋าสัมภาระกลับเข้าไปในอ้อมแขนของนาง ขมวดคิ้วถาม “เจ้ามาทำอะไร?”
“กลับเมืองหลวงกับเจ้าไง” จินหลิวหลีเลือกที่นั่งที่สบาย ๆ ยื่นมือกดเบาะที่อยู่ใต้ลำตัว ก็พบว่ามีความนุ่มสบาย ให้ความรู้สึกที่ดีมาก
เห็นได้ชัดว่าคนของจวนโม่เหล่านี้มีความใส่ใจอยู่มาก
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองนาง “เจ้าบอกว่าทั้งชีวิตนี้จะอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เจียงเฉิงเพียงลำพังจนแก่เฒ่ามิใช่หรือ?”
“นี่ก็เป็นเพราะต้องการปกป้องเจ้ากับหนานหนานมิใช่หรือ? ให้พวกเจ้าสองคนกลับเมืองหลวงเพียงลำพัง ข้ารู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ” จินหลิวหลีถอดผ้าคลุมหน้าออก ก่อนจะถอนหายใจอย่างช้า ๆ นางรู้สึกได้ว่ารถม้าเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว จึงเอนเข้ากับข้างหน้าต่างอย่างสบาย ๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ภายในใจของนางทราบเป็นอย่างดี อวี้ชิงลั่วกลับเมืองหลวงครานี้คงไม่มีทางสงบสุขอย่างแน่นอน
เรื่องอื่นไม่เป็นอะไร แต่นางกลัวว่ามีคนจะลงมือกับหนานหนาน แม้เจ้าเด็กนั่นจะไม่ใช่คนที่ลงมือจัดการได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีคนใช้วิธีน่ารังเกียจ
มีนางอยู่ อย่างน้อย ๆ ก็พอจะช่วยได้สักหน่อย
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก นางเหลือบมองอีกฝ่ายอยู่นาน ในที่สุดก็หลับตาลง เปล่งเสียงอู้อี้ออกมาจากปากสองพยางค์ “ขอบใจ”
“เหอะ…เป็นสองพยางค์จากปากของเจ้าที่หาฟังได้ยากจริง ๆ”
โม่เสียนและคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกรถม้าหันสบตากัน โดยไม่กล่าวสิ่งใด ความเร็วของรถม้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาต้องปกป้องสตรีทั้งสองคนภายในรถม้าให้ดี
รถม้าออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก หลังจากเดินทางไปได้ครึ่งวันจึงหยุดลงที่ประตูของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ออกเดินทางต่อโดยไม่หยุดพักอีกครั้ง
เพียงแต่เรื่องราวมิได้เป็นไปอย่างที่อวี้ชิงลั่วคาดหวังไว้ ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ย่อมไม่ได้เดินทางอย่างสงบสุข
เดินทางไปได้เพียงแค่ช่วงเช้า ถนนที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกคนขวางทางไว้
“แม่นางอวี้ แม่นางจิน ด้านนอกมีโจรขวางทางไว้ พวกเจ้าทั้งสองโปรดนั่งอยู่ในรถม้าอย่าได้ออกมา อีกครู่หนึ่งพวกเราก็สามารถเดินทางต่อได้แล้ว” โม่เสียนจงใจกดเสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นจากด้านนอกรถม้าด้วยความระมัดระวังเล็ก ๆ
อวี้ชิงลั่วส่งเสียง ‘อืม’ เบา ๆ นางไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น และนอนหลับตาอยู่บนผ้าห่มขนสัตว์นุ่ม ๆ
จินหลิวหลีแอบแหวกมุมผ้าม่านเล็กน้อย เหลือบมองสถานการณ์ที่อยู่ด้านนอกปราดหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหัวเราะเสียงเบา “แม้ว่าจะแต่งตัวเหมือนกับโจร แต่ท่าทางและตำแหน่งการยืนของพวกเขา ดูคล้ายกับทหารหน่วยกล้าตายมากกว่า”
อวี้ชิงลั่วพลิกตัว ถามอย่างเกียจคร้าน “เจ้าอยากลงมือหรือ?”
“ผู้มีฝีมือทั้งสามคนที่อยู่ข้างนอกเก่งกาจขนาดนั้น ยังต้องให้ข้าลงมือเองอีกหรือ?” จินหลิวหลีปล่อยผ้าม่านลง เสียงต่อสู้ที่ดุเดือดดังขึ้นข้างหู โม่เสียนที่อยู่ด้านนอกรถม้ากระโดดลงไปแล้ว คุ้มกันบริเวณโดยรอบไม่ให้มีใครเข้าใกล้พวกเขา
อวี้ชิงลั่วส่งเสียง ‘อืม’ ทุ้มต่ำอีกเสียง เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
เย่ซิวตู๋ผู้นี้ทราบว่าระหว่างทางต้องมีคนมาขวางทางพวกเขา และทราบว่าการที่นางเดินทางพร้อมกับเสิ่นอิงต้องกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าจะพาบุตรชายของนางหนีไปโดยไม่สนใจอะไร เหอะ พวกเขาปลอดภัยแล้ว แต่กลับผลักให้สตรีอ่อนแอผู้บริสุทธิ์อย่างนางมาอยู่ในมรสุมคลื่นลมเนี่ยนะ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกไม่มีความสุขอย่างมาก ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ภายในใจแอบเริ่มนับแล้ว หากนางนับถึงสิบ โม่เสียนและคนอื่น ๆ ยังไม่สามารถกำจัดคนที่แกล้งทำเป็นโจรเหล่านี้ได้ เช่นนั้นนางก็จะไม่เกรงใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู นางจะจัดการให้หมด
หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…ห้า…หก…
“แม่นางอวี้ ทำให้พวกเจ้าต้องตกใจแล้ว ด้านนอกถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว พวกเราเดินทางกันเถิด” ยังไม่ทันนับถึงสิบ เสียงที่คุ้นเคยของเสิ่นอิงก็ดังขึ้นจากด้านนอก
ความหงุดหงิดภายในใจของอวี้ชิงลั่วจึงลดลงเล็กน้อย นางหลับตาและนอนหลับอย่างสงบสุข
จินหลิวหลีแอบถอนหายใจ คนอื่นไม่รู้ แต่นางรู้ดี เมื่อครู่นังเด็กนี่คิดจะลงมือสังหารให้เหี้ยนอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่ฝีมือของโม่เสียนและคนอื่น ๆ อยู่ในระดับสูง
หลังจากผ่านการจู่โจมไปหนึ่งครั้ง โม่เสียนและคนอื่น ๆ ก็เพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น ระหว่างทางไม่กล้าที่จะล่าช้าแม้แต่น้อย แม้แต่มื้อเที่ยงก็กินระหว่างทางไปด้วย
เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้ถือเป็นเรื่องสำคัญอะไร พวกเขาคุ้นชินกับการนอนกลางดินกินกลางทรายแบบนี้แล้ว เพียงแต่กลัวว่าจะปฏิบัติต่ออวี้ชิงลั่วและจินหลิวหลีได้ไม่ดี
ด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขานำอาหารส่งเข้าไปในรถม้าของพวกนาง สีหน้าของเขาจึงเกิดความอึดอัดและจนปัญญา
อวี้ชิงลั่ววางท่าทางเย็นชาและสง่างามตลอดการเดินทาง นอกจากการออกเสียงเดี่ยว ๆ ที่จำเป็นไม่กี่คำ นางก็ไม่ได้พูดกับใครเลย
มีก็แต่จินหลิวหลีที่อยู่ข้าง ๆ นางโบกมืออย่างสง่างาม “ไม่เป็นไร ต่อให้ชีวิตลำบากและยากกว่านี้ข้าก็ผ่านมาหมดแล้ว ส่วนชิงลั่ว นางก็ไม่ใช่คุณหนูผู้ร่ำรวยที่ทนต่อความลำบากไม่ได้”
ภายในใจของเสิ่นอิงเกิดความผ่อนคลาย เขามองจินหลิวหลีปราดหนึ่ง เพียงแต่บนใบหน้าของนางมีผ้าคลุมไว้ จึงทำให้เขาแอบรู้สึกเสียใจเล็ก ๆ
หลังจากเดินทางด้วยรถม้าเป็นเวลา 15-16 วัน ในที่สุดก็เข้าใกล้เมืองหลวง เหลือระยะทางอีกแค่ร้อยลี้เท่านั้น เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงมากเท่าไร เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งไม่กล้าประมาทมากขึ้นเท่านั้น ความระแวดระวังภายในใจถูกดึงมาถึงขีดสุด แม้แต่นอนหลับก็ยังรออย่างใจจดใจจ่อ กระบี่ไม่ได้อยู่ห่างจากตัว
อวี้ชิงลั่วนั่งอยู่บนรถม้าจนปวดเอวปวดหลัง ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง เมื่อถึงโรงเตี๊ยมนางก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น คิดแค่อยากจะรีบอาบน้ำและนอนหลับให้เต็มอิ่มสักตื่น
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนยุคโบราณแต่กำเนิด นางคุ้นเคยกับการนั่งรถยนต์สมัยใหม่ที่เดินทางได้วันละพันลี้ ไม่เหมือนกับจินหลิวหลีที่ได้นั่งโยกไปแกว่งมาอยู่บนรถม้าตลอดทั้งวันแล้วก็ยังมีความกระปรี้กระเปร่าเป็นร้อยเท่า
เสิ่นอิงทราบดีว่าหลายวันมานี้อวี้ชิงลั่วคงรู้สึกเหนื่อย ภายในใจก็รู้สึกเสียใจมาก รีบบอกให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำร้อนไปส่งให้ ส่วนพวกเขาก็รีบสำรวจด้านในและด้านนอกโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว
จินหลิวหลีนั่งอยู่ด้านหลังม่านกั้น ฟังเสียงน้ำไหลจากด้านในขณะส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ “พวกเราใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้ามีแผนการอย่างไร?”
“ตามหาหนานหนาน” อวี้ชิงลั่วเอนตัวเข้ากับข้างอ่างอย่างสบาย ๆ ควันที่อยู่ตรงหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกสบายที่ดูคลุมเครือ
“หลังจากนั้นล่ะ?”
“ตามหาแม่นมเก๋อ”
จินหลิวหลีหลุดขำ “ข้าคิดว่าคงไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นกระมัง ชิงลั่ว เจ้าไม่คิดให้เย่ซิวลั่วช่วยเหลือเจ้าสักหน่อยหรือ? ระหว่างทางมาที่นี่พวกเราก็พอจะมองออกว่าผู้อารักขาเหล่านั้นของเขาไม่ธรรมดาเลย อำนาจและความสามารถของเย่ซิวตู๋ต้องไม่อ่อนแอแน่นอน ให้เขาช่วยเหลือ บางทีอาจจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าเจ้าที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย”
ให้เย่ซิวตู๋ช่วยเหลือ? มือของอวี้ชิงลั่วที่กำลังเช็ดตัวชะงัก นางยิ้มเยาะตัวเอง “ตอนนี้ข้ารีบร้อนที่จะขีดเส้นกั้นระหว่างเขา”
จินหลิวหลีเลิกคิ้ว เกรงว่าคงยากสักหน่อยกระมัง อวี้ชิงลั่วเป็นคนชาญฉลาดขนาดนี้ มีหรือจะมองไม่ออกว่าเย่ซิวตู๋ตั้งใจเก็บนางไว้ใช้ประโยชน์? ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น สถานะหมอปีศาจของนาง คนแซ่เย่ไม่มีทางปล่อยนางไปง่าย ๆ ขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น…นางก็พอจะมองออก ความสนใจที่เย่ซิวตู๋มีต่อนังเด็กคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่เพียงตัวตนของนาง
อีกอย่าง เขาและหนานหนานเป็นแบบนี้ บางทีเขาอาจมีความคิดอยากเป็นพ่อของหนานหนานก็ได้
ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ห้วงความคิด จู่ ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงของเหวินเทียนที่ฟังดูตื่นเต้นเล็กน้อย “แม่นางอวี้นอนหรือยัง? ข้าได้รับจดหมายจากเมืองหลวง คิดว่าแม่นางอวี้น่าจะสนใจ”
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ให้จินหลิวหลีไปด้วยน่าจะดี เพราะดูคนนี้มีวรยุทธ์อยู่
คนสมัยใหม่ต้องมานั่งรถม้ายุคโบราณมันก็เหนื่อยแทบขาดใจน่ะค่ะ
ใครส่งจดหมายมากันนะ
ไหหม่า(海馬)