อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 61 ไม่มีภรรยาให้แต่งงานจะทำอย่างไร
ตอนที่ 61 ไม่มีภรรยาให้แต่งงานจะทำอย่างไร?
เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ หันสบตากัน นายท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจะไปหาตัวได้จากที่ใด?
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว ใบมีดที่อยู่ระหว่างนิ้วมือเกิดแสงเย็นวาบจางๆ แต่เมื่อเห็นว่ามือบนลำคออวี้ชิงลั่วเริ่มบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ รูม่านตาของเขาก็หดเล็กลงอย่างห้ามไม่อยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเก็บใบมีดกลับไป
อยากให้เขาออกไปมิใช่หรือ? ประเสริฐมาก เขาเองก็อยากเห็นเช่นกัน หากเจอเขาแล้ว อีกฝ่ายจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่
เย่ซิวตู๋ดึงชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย ตอนที่ตัดสินใจจะร่อนลงไป
อวี้ชิงลั่วที่เงียบขรึมไม่พูดไม่จามาโดยตลอด กลับหัวเราะเสียงทุ้มต่ำออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร?” หัวหน้านักฆ่าตกใจกับอาการของนาง จึงถลึงตามองปราดหนึ่ง สตรีผู้นี้ช่างประหลาดเสียเหลือเกิน ถูกเขาบีบคออยู่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย ไม่สร้างปัญหา แม้แต่ร้องขอชีวิตก็ไม่มี
ตอนนี้กลับหัวเราะออกมา
“พี่ชายท่านนี้ เจ้าจับข้าจับผิดคนแล้วล่ะ” อวี้ชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ เหตุใดถึงต้องมาจับนางด้วย? เพราะอะไรถึงได้คิดว่านางคือคนที่รังแกได้ง่ายที่สุด?
“พี่ชายท่านนี้ อย่าว่าแต่เย่ซิวตู๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้เลย ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ เจ้าจับข้าก็ข่มขู่อะไรเขาไม่ได้หรอก เจ้าคิดว่าเขาจะยอมปรากฎตัวออกมาเพื่อเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับสตรีที่ไม่ได้มีความสำคัญคนหนึ่งงั้นหรือ?”
ไร้สมองสิ้นดี
หัวหน้านักฆ่าชะงัก ทันใดนั้นก็พูดอย่างเหี้ยมโหดว่า “งั้นหรือ? ไม่มีความสำคัญ? หากเจ้าไม่มีความสำคัญ เหตุใดพวกเขาถึงได้ประหม่าเพราะเจ้าเช่นนี้? เอาสิ เย่ซิวตู๋ไม่ปรากฏตัวออกมา ข้าก็จะฆ่าเจ้าก่อน เจ้า…เจ้า…”
เขาพูดไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง จู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ดวงตาถลึงมองแต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
อวี้ชิงลั่วค่อย ๆ ดึงมือที่แข็งทื่อของอีกฝ่ายที่บีบอยู่บนคอของนางลง หมุนกายและตบบ่าอีกฝ่ายกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การที่เจ้าไม่ฆ่าข้าตั้งแต่แรก นับเป็นความเศร้าโศกครั้งใหญ่ที่สุดของเจ้า”
พูดจบ นางก็ยกเท้าเตะ ‘ปึก’ ไปที่ร่างของคนผู้นั้น หัวหน้านักฆ่าผู้เหี้ยมโหดที่สามารถพรากชีวิตของนางได้ทุกเมื่อพลันล้มคะมำลงไปด้านล่าง
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างพากันตกตะลึง มีคนรีบวิ่งมาตรงหน้าเขาและตรวจสอบลมหายใจ ไหนเลยจะมีลมหายใจหลงเหลืออยู่?
“เจ้า…เจ้าทำอะไร?” มีคนชี้หน้าอวี้ชิงลั่วพร้อมกับตวาดอย่างโกรธเคือง
“อ๋อ ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก เพียงแต่ตอนที่เขามาจับตัวข้า ข้าแทงเข็มใส่เขา ตอนนี้พิษทำงานแล้ว เขาจึงตายแล้วอย่างไรล่ะ” อวี้ชิงลั่วแกว่งเข็มพิษในมือ พูดกับคนผู้นั้นด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าอยากลองหรือไม่?”
“เจ้า…”
“ฆ่าพวกมัน อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว” อวี้ชิงลั่วสะบัดเข็มพิษอย่างเย็นชา น้ำเสียงราวกับน้ำแข็งเหมันต์ในช่วงคิมหันต์ฤดู
รบกวนเวลานอนของนางยังพอทน คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะข่มขู่นางอีก?
เย่ซิวตู๋ที่อยู่ด้านบนหลังคาค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้น ทั้งยังลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาคิดไว้อยู่แล้ว สตรีผู้นี้จะยอมเสียเปรียบได้อย่างไรกัน? คาดว่าที่ยืนอยู่ข้างทางเดินตลอด ก็เป็นเพราะต้องการล่อหัวหน้าคนนั้นมาจัดการนาง
จินหลิวหลีลงมือก่อน แส้รัดไปที่กลางลำคอของคนเมื่อครู่ ก่อนจะสะบัดรูดอย่างแรงจนเลือดสาดกระจาย
เสิ่นอิงหยิบกระบี่จากพื้นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำขณะพุ่งเข้าใส่กลุ่มบุรุษชุดดำ
ครั้นไม่มีหัวหน้า บุรุษชุดดำเหล่านั้นก็เหมือนกับกระบะทรายหลวม ๆ แม้ยังมีแรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีพลังราวกับเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิเมื่อครู่แล้ว
เพียงไม่นานก็ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…จริง ๆ
อวี้ชิงลั่วเดินลงมาด้านล่าง มองดูศพที่นอนเกลื่อนพื้น ปลายจมูกได้กลิ่นคาวเลือดลอยมากระทบเป็นครั้งคราว พลันเกิดอาการคลื่นไส้เล็กน้อย
นางเดินมาตรงหน้าเผิงอิงและเสิ่นอิง เมื่อเห็นว่าบาดแผลของพวกเขาไม่ได้ร้ายแรงจึงเบาใจลง
พวกเขาเข้ามาห้อมล้อมข้างตัวอวี้ชิงลั่ว จินหลิวหลีมีสีหน้าเคร่งขรึม หูของนางกระดิกเล็กน้อย บนใบหน้าแอบประกายความสงสัย “แปลกชะมัด อีกกลุ่มหนึ่งไปแล้วหรือ?”
นางเพิ่งกล่าวจบ ก็พบว่ามีผู้พิทักษ์ทมิฬคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ท่านโม่ ด้านนอกมีอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ถูกจัดการทั้งหมดแล้วขอรับ”
“ถูกจัดการแล้ว?” จินหลิวหลีประหลาดใจ นางและโม่เสียนรีบพุ่งตัวออกไปด้านนอกโรงเตี๊ยมพร้อมกัน
มีคนจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นจริง ๆ แต่กลับไม่มีใครเหลือลมหายใจแม้แต่คนเดียว
จินหลิวหลีย่อตัวลง มองดูบาดแผลของคนที่อยู่ข้างเท้า ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้น บาดแผลเช่นนี้ ฝีมือโจมตีปลิดชีพในครั้งเดียวเช่นนี้ เหมือนกับตอนที่เย่ซิวตู๋สังหารซวงเคอภายในโรงเตี๊ยมฝูหลงก่อนหน้านี้มิใช่หรือ?
เย่ซิวตู๋อยู่ที่นี่? จินหลิวหลีเงยหน้าขึ้นทันใด ชานเมืองที่ห่างไกลความเจริญมีเพียงลมหนาวพัดโชย ไม่มีเงาของใครแม้แต่คนเดียว
จินหลิวหลีทราบได้ว่านี่เป็นเรื่องดี ๆ ที่เย่ซิวตู๋เป็นคนทำ โม่เสียนเองก็ย่อมทราบดี
เมื่อเขาทราบว่านายท่านมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย ภายในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
ตอนที่ทั้งสองคนกลับเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง อวี้ชิงลั่วก็ทำแผลให้เผิงอิงและเสิ่นอิงเสร็จแล้ว ขณะมองพวกเขาทั้งสองคน มือของนางจึงหยุดลงเล็กน้อยและเอ่ยถาม “คนที่อยู่ด้านนอกถูกใครจัดการหรือ?”
“ไม่รู้” จินหลิวหลีชิงก้าวเท้าตัดหน้าก่อนหนึ่งก้าว ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “คงเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้ระดับสูง ตอนที่พวกเราออกไปก็ไม่เห็นใครแล้ว แต่คนที่ตายดูเหมือนว่าจะเกิดการทะเลาะกันของสองฝ่าย ข้าคิดว่า บางทีพวกเขาอาจทะเลาะกันมาก่อน จึงไล่ตามมาถึงหลังคาของโรงเตี๊ยมแห่งนี้กระมัง คงไม่ใช่คนที่มาไล่ฆ่าพวกเราหรอก”
โม่เสียนมองจินหลิวหลีที่พูดโกหกโดยไม่กะพริบตาด้วยความตกตะลึง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตอนที่อยู่ด้านหน้าประตูสตรีผู้นี้ก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นคนที่ถูกนายท่านฆ่า เหตุใดถึงบอกกับอวี้ชิงลั่วจนกลายเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง
โม่เสียนไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะถามในทันที จึงทำได้เพียงแต่ปิดตาอย่างเชื่อฟัง ตอนที่เห็นสายตาสอบถามของอวี้ชิงลั่ว เขาก็แสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจริงจัง
อวี้ชิงลั่วเก็บของเสร็จก็ลุกขึ้นยืน “ในเมื่อตอนนี้ไม่มีศัตรูแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางข้ามคืนเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ง่วงอยู่แล้ว”
นางไม่ง่วง ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ง่วงสักหน่อย
โม่เสียนและคนอื่น ๆ มุมปากกระตุก แต่ก็ทราบดีว่าตอนนี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อีกอย่างนางก็พูดถูก คนที่ส่งคนออกมาไล่ฆ่าพวกเขา ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้คงยังไม่ได้รับข่าวเรื่องที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ใช้โอกาสนี้รีบกลับเมืองหลวงถึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด
เหวินเทียนและโม่เสียนหันสบตากัน เพียงไม่นานก็เก็บกวาดด้านในและด้านนอกโรงเตี๊ยมจนสะอาด จากนั้นจึงขนของขึ้นรถม้า และมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงโดยไม่หยุดพัก
เย่ซิวตู๋กระโดดลงมาจากหลังคา เขามองดูรถม้าที่ห่างไกลออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจออกมา
หากเขาออกเดินทางตอนนี้ เกรงว่าเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับปุ๋ยคนนั้นคงไม่พอใจ
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตอนที่หนานหนานถูกปลุกเพราะรถม้าที่โคลงเคลง เขาก็หงุดหงิดจนทนไม่ไหว เขานั่งอยู่บนรถด้วยความงัวเงียขณะแกว่งมือแกว่งเท้าใช้มือทึ้งเส้นผมและบิดเสื้อผ้าอย่างรุนแรง
“ท่านลุงเย่ ท่านแม่บอกว่าคนเราต้องนอนหลับให้เพียงพอ หนึ่งวันต้องนอนให้พอสี่ชั่วยาม โดยเฉพาะเด็กเล็กแบบข้า ตอนนี้อยู่ในช่วงวัยกำลังเติบโต มิอาจตื่นขึ้นมาและเดินทางตามอำเภอใจได้ เพราะมีผลกระทบต่อพัฒนาการของข้าเป็นอย่างมาก หากข้าโตขึ้นมาแล้วไม่สูงจะทำอย่างไร? หากไม่มีภรรยาให้แต่งงานจะทำอย่างไร? ท่านอยากเลี้ยงดูข้าตลอดชีวิตหรือ?”
หนานหนานบิดตัวราวกับไส้เดือนอยู่นานกว่าจะหยุดลง เขาบุ้ยปากน้อย ๆด้วยความหงุดหงิดเพราะได้นอนไม่เต็มอิ่ม
เย่ซิวตู๋ครุ่นคิด เด็กชายกับอวี้ชิงลั่วสองแม่ลูกคู่นี้ช่างเหมือนกันเสียทุกอย่าง ถูกคนรบกวนเวลานอนหลับก็จะแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
“แม่ของเจ้าออกเดินทางนำพวกเราไปก่อนแล้ว” เขายิ้มและพูดแทรกหนานหนาน
ปากเล็ก ๆ ของหนานหนานที่บ่นไม่หยุดหุบสนิทลงทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหดตัวอยู่ที่มุมของรถม้า ขานตอบเสียงเบาหนึ่งเสียง “อ๋อ”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรียบร้อยชิงลั่วค่ะ กวาดนักฆ่าเกลี้ยงไม่เหลือ
เจ้าหนานหนานเอ๊ย ตัวแค่นี้ก็คิดจะมีภรรยาแล้วเหรอ หาพ่อให้เจอก่อนเถอะ
ไหหม่า(海馬)