อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 619 ไม่รู้จักโต
บทที่ 619 ไม่รู้จักโต
บทที่ 619 ไม่รู้จักโต
ในใจอวี้ชิงลั่วนั้นไม่พอใจยิ่งนัก อยู่ดีๆ ก็จะให้พวกเขาเปลี่ยนโรงเตี๊ยม มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน
นางกำลังจะกล่าวบางอย่าง ด้านนอกก็มีเสียงปึงปังดังเข้ามา
พนักงานที่อยู่ตรงประตูตกใจ ทันใดนั้นก็ตบขา และไม่กล่าวอะไรกับอวี้ชิงลั่วอีก รีบหันหลังวิ่งออกไป
คนในห้องทั้งสามคนมองหน้ากัน หนานหนานอ้าปากกว้าง มองออกไปนอกประตูอย่างสงสัย
เสียงดัง ‘ตึง’ แล้วก็มีเสียงอันรุนแรงดังตามมา
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว หรือว่ามีคนมาก่อเรื่องที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว ดังนั้นจึงมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ นางเม้มปาก เดินออกจากประตูห้องไป
เพียงเดินออกไป ก็เห็นแขกสองสามคนที่อยู่ชั้นเดียวกับตนถือสัมภาระออกมากันอย่างรีบร้อน
หนึ่งในนั้นเดินผ่านนางไป เมื่อเห็นท่าทางเชื่องช้าของนาง ก็แนะนำด้วยความเป็นห่วง “แม่นาง รีบไปเสียเถิด นี่มากันหลายคนนัก เราจะทำให้ไม่พอใจไม่ได้เชียว”
“มากันหลายคนหรือ” อวี้ชิงลั่วถามอย่างประหลาดใจ “ข้างล่างมีคนก่อเรื่องแล้วหรือ”
คนผู้นั้นส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมา “พนักงานไม่ได้บอกแม่นางหรือ มีคนเข้ามายึดโรงเตี๊ยมนี้ ให้ลูกค้าทุกคนในโรงเตี๊ยมนี้เก็บของแล้วไปโรงเตี๊ยมอื่นเสีย เดิมทีเถ้าแก่นั้นไม่ยอม ถึงแม้วันนี้คนเข้าพักจะไม่มาก แต่ก็ไล่คนเขาออกไปข้างนอกไม่ได้นี่ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะทุบโต๊ะเสียพัง เขาพาคนมาด้วยไม่น้อยเลย ดูจากการแต่งตัวแล้ว ฐานะน่าจะไม่ใช่ต่ำต้อย เราออกไปข้างนอกดีกว่า สร้างปัญหาให้น้อยไว้หากทำได้เถิด”
กล่าวจบ คนผู้นั้นก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ ถึงแม้จะไม่พอใจนักแต่ก็ไม่มีทางอื่น หลังจากพึมพำอย่างไม่พอใจแล้วก็เดินลงชั้นล่างไป
หนานหนานอุ้มถุงสัมภาระอยู่ข้างๆ นาง มองซ้ายมองขวาเห็นว่าลูกค้าทุกคนต่างก็กำลังวิ่งลงไปข้างล่างกัน เขาส่งเสียงจิ๊ๆ
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว นางเกลียดพฤติกรรมน่ารังเกียจเช่นนี้เหลือเกิน แต่เมื่อครู่ที่คนผู้นั้นกล่าวก็จริงอยู่ ออกไปข้างนอก ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจได้ก็ต้องทำ ยังไม่รวมถึงการที่พวกนางทุกคนแอบเดินทางไปยังดินแดนเหมิง อีกทั้งข้างกายยังพาเหมิงหลัวอวี้ที่ถูกชาวเหมิงตามฆ่ามาด้วยอีก ไม่ควรทำตัวเป็นจุดสนใจเลยจริงๆ อีกอย่าง หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนมีลูกผู้มีอำนาจ คนผู้นั้นแสดงอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนจากทางการสักคนมาจัดการ เห็นได้ชัดว่าสถานะของเขาไม่ได้ต่ำต้อย
อวี้ชิงลั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าจะกลับไปเก็บข้าวของ ไปพักที่โรงเตี๊ยมข้างๆ ดีกว่า ถือโอกาสจัดการปัญหาเรื่องรถม้าไปด้วย
หลังจากตัดสินใจได้ นางก็กลับไปกล่าวกับเด็กทั้งสองคน “เก็บข้าวของเสีย เราไปจากที่นี่กันเถิด”
เหมิงหลัวอวี้พยักหน้าในทันทีโดยไม่กล่าวอันใดสักคำ นางเป็นคนฉลาดเฉลียว เข้าใจความกังวลของอวี้ชิงลั่วได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้หนานหนานจะไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่เขาเชื่อมาตลอดว่า ‘คำพูดของท่านแม่มีเหตุผล การตัดสินใจของท่านแม่ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ใหญ่ที่สุด’ จึงหันหลังกลับตามไป เข้าห้องไปเอาถุงสัมภาระใหญ่ของตนออกมา
ทั้งสามคนเดินไปจนถึงบันได ใครจะรู้ว่าเดินไปเพียงสองก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอันโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว โรงเตี๊ยมทุกแห่งล้วนมาก่อนได้ก่อน เจ้าอยากจะครองทั้งโรงเตี๊ยม ก็ควรมาบอกก่อนหนึ่งวันสิ ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เจ้ากลับจะให้ลูกค้าทุกคนออกไป ช่างไม่สนกฎฟ้าดินเลยจริงๆ”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว ดูท่าแล้ว คงมีลูกค้าที่ไม่พอใจการกระทำของเขา รู้สึกเหมือนไม่เป็นธรรม จึงออกหน้ากล่าวเช่นนี้
แต่ฝีเท้าของเหมิงหลัวอวี้ที่เดินตามมาก็ชะงัก หยุดนิ่งในทันใด
หนานหนานอยู่ข้างๆ นาง หันหน้าไปมองนางด้วยความสงสัย “น้องอวี้ เป็นอะไรไปหรือ”
อวี้ชิงลั่วที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินดังนั้นก็หยุดตาม หันหน้ามามองเหมิงหลัวอี้อย่างประหลาดใจ
สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป เหลือบตาขึ้นมองอวี้ชิงลั่ว กล่าวเบาๆ “ข้ารู้สึกว่า เสียงนี้คุ้นหูนักเจ้าค่ะ เหมือนกับว่า เหมือนกับว่าเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน”
ร่างกายของอวี้ชิงลั่วแข็งทื่อไปชั่วขณะ เหมิงหลัวอวี้ถูกขังอยู่ในจวนไม่ได้ออกไปไหน คนที่นางรู้จักนั้นมีน้อยนัก แล้วนี่กลับเป็นเสียงที่นางคุ้นหูอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นแล้ว เป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้เคยปรากฏตัวที่จวนที่เหมิงหลัวอวี้อาศัยอยู่มาก่อน อีกอย่าง คนผู้นี้น่าจะรู้จักนาง
เวรล่ะ
อวี้ชิงลั่วผลักทั้งสองคนในทันที กล่าวเสียงเบา “ถอยไปเสียหน่อย เรามาดูกันก่อน”
เหมิงหลัวอวี้กลืนน้ำลาย พยักหน้า ถอยหลังกลับไปยังประตูห้องที่พวกนางอยู่พร้อมกับหนานหนาน
ทั้งสามคนมองลงไปจากช่องว่างตรงราวบันไดชั้นสอง เป็นเพราะเสียงคำรามของชายผู้นั้น ชั้นล่างจึงเงียบลงไปในทันที
ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงกุกกัก ไม่นานนักด้านหน้าของชายผู้นั้นก็มีคนหกคนยืนอยู่ ทุกคนล้วนจ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้าย
อวี้ชิงลั่วมองคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามคนเหล่านั้น คนที่อยู่ด้านซ้ายนั้นดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 30 ปี สวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของดีนัก แต่ก็มองออกว่าเป็นวัสดุระดับบนๆ คนที่พูดเมื่อครู่นี้ก็คือเขา และเสียงที่เหมิงหลัวอวี้รู้สึกคุ้นหูนั้นก็เป็นเขา
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาห้าหกคนนั้นน่าจะเป็นพวกนักเลงที่ถูกจ้างมาให้คุ้มกัน เสื้อผ้าที่ใส่นั้นล้วนเหมือนกันหมด ทุกคนล้วนพกดาบ มองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
ผ่านไปไม่นานนักก็เห็นห้าหกคนนั้นถอยหลังกลับไปสองก้าว เห็นคนใส่ชุดสีขาวคนหนึ่งเดินมาจากด้านหลัง ถือพัด เป็นชายหนุ่มรูปงาม
เขามองชายตรงหน้า พิจารณาจากบนลงล่าง ยิ้มแล้วกล่าว “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ กล่าวอีกทีสิ”
“ข้าบอกว่า ใครมาถึงโรงเตี๊ยมก่อนก็ต้องได้พักก่อน”
“เชื่องเหลือเกิน ข้าบอกให้เจ้าพูดก็พูด ช่างเชื่อฟังเสียจริงๆ”
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา คนผู้นี้ช่างชวนให้โมโหเหลือเกิน ดูท่าทางเป็นลูกผู้ลากมากดี
“เจ้า…” ชายผู้นั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว กำปั้นที่อยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้น
เหมิงหลัวอวี้ที่อยู่ข้างๆ กล่าวเบาๆ “ข้าเคยพบเขา คนผู้นั้นเคยมาที่จวน ข้าได้ยินคนเรียกเขาว่าท่านอูเอ้อร์”
“เช่นนั้นเขาเคยเจอเจ้าหรือไม่”
เหมิงหลัวอวี้ชะงัก คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่มั่นใจ “ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากับเขาเจอกันปราดเดียว ไม่รู้ว่าเขาเห็นข้าชัดเจนหรือไม่”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว
เสียงชายชุดขาวดังมาจากด้านล่างอีกครั้ง “เจ้ายังยืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีก ที่นี่ข้าเหมาหมดแล้ว หากเจ้าเข้าใจสถานการณ์แล้วก็รีบไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะให้คนไล่เจ้าออกไป ถึงตอนนั้นสภาพจะดูไม่ได้เอา”
“เฮอะ แล้วถ้าข้าไม่ไปล่ะ” ท่านอูเอ้อร์คำราม “เงินข้าก็จ่ายไปแล้ว โรงเตี๊ยมนี้ข้าก็เข้าพักแล้ว เหตุใดเจ้าบอกให้ข้าออกแล้วข้าต้องออกด้วยเล่า เจ้าคิดว่าเพียงมีลูกน้องมาไม่กี่คน ก็จะจัดการข้าได้อย่างนั้นหรือ”
อวี้ชิงลั่วลดสายตาลง ฟังเสียงของท่านอูเอ้อร์ คิดว่าเขาจะต้องมีวิชาไม่น้อยเป็นแน่
ชายชุดขาวมองเขา “เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้ความนักเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
อวี้ชิงลั่วดูถูกเขาในใจ ตนเองไม่มีความสามารถ ดูท่าก็คงทำได้เพียงพึ่งพาพวกนักเลงที่จ้างมาคุ้มครอง ตอนนี้รู้แล้วว่าเพียงนักเลงที่จ้างมานั้นพึ่งพาไม่ได้ ก็ยกเอาชื่อเสียงของตระกูลออกมาสู้อย่างนั้นหรือ
ไม่รู้จักโต
!!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะตีกันก็ไปตีกันที่อื่น มันเดือดร้อนแขกคนอื่นที่มาพักนะ
อย่าให้ถึงมือชิงลั่วสั่งสอนนะ
ไหหม่า(海馬)