อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 63 ท่าทางดูโตขึ้น
ตอนที่ 63 ท่าทางดูโตขึ้น
หนานหนานพยักหน้า สายตาจ้องมองคุณชายว่านคนนั้นก้าวเท้าเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางเย็นชาและดูสูงส่ง ทิ้งลูกสมุนอันธพาลกลุ่มหนึ่งยืนขวางถนนอยู่ด้านหน้า
ดวงตาหนานหนานกลอกวนอยู่สองรอบ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อเมื่อครู่หันกลับมา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งในทันที “เสี่ยวเอ้อ ข้าคือสหายที่คุณชายว่านผู้นั้นเชิญมา ตอนนี้ข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
เสี่ยวเอ้อแทบกระอักเลือด นิ้วมือที่ชี้หนานหนานเริ่มสั่นระริก บุคคลไร้ยางอายผู้นี้ คุณชายว่านไม่ได้รู้จักเขาเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะลืมตาพูดเรื่องไร้สาระได้
เย่ซิวตู๋ชะงักและหลุดหัวเราะออกมา
หนานหนานตบบ่าเขา “ท่านลุงเย่ พวกเราเข้าไปเถอะ”
“ช้าก่อน” เสี่ยวเอ้อรีบวิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง ทั้งยังยืนขวางทางอยู่ตรงนั้นไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไป จากนั้นจึงจ้องหนานหนานและกล่าวด้วยถ้อยคำเราะร้าย “นี่เจ้าตั้งใจมาหาเรื่องหรือ? ก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ ทุบสองคนนี้แล้วไล่ตะเพิดออกไป”
หอหลินสุ่ยเดิมทีก็เป็นสถานที่ชั้นยอดอยู่แล้ว คนที่เข้านอกออกในต่างก็เป็นคนมีเงินทองและมีอำนาจ แต่ก็ยังมีคนที่ฉวยโอกาสเพื่อสร้างปัญหา มาที่นี่เพื่อรบกวนเวลาอาหารของลูกค้าระดับสูงเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ภายในโรงเตี๊ยมจึงมีพวกอันธพาลที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ท่าทางของแต่ละคนก็ดูเหมือนปีศาจชั่วร้าย
เสี่ยวเอ้อคนนั้นตะโกนเรียก ด้านในก็มีคนวิ่งออกมา 5-6 คน ในมือยังถือไม้ตะบองพุ่งเข้าใส่เย่ซิวตู๋และหนานหนานด้วยความโกรธเคือง
“เอื๊อก” หนานหนานตกใจจนสะดุ้งโหยง เขากอดคอเย่ซิวตู๋จนแน่น กระซิบถาม “ท่านลุงเย่ คนเหล่านี้ ท่านสู้ได้หรือไม่?”
“หากสู้ไม่ได้แล้วจะเป็นเช่นไร?” เขาไม่ได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา พวกเขาก็เป็นพวกโอ้อวดพละกำลัง ไม่ได้มีความสามารถอะไร
หนานหนานครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นจึงกล่าวข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่บอกว่า หากสู้ไม่ได้ก็ต้องหนี หนีไม่ได้ก็ต้องรมควันคนพวกนั้นให้ตายด้วยผายลมเหม็นหึ่งอยู่ยงคงกระพันชั้นยอดของหนานหนาน หากมิอาจรมควันให้ตายได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่วางยา”
อืม ท่านแม่ของเขาพูดเช่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน แม้ว่ามีหลายครั้งที่เขาจะชี้แจงไปแล้ว อันที่จริงกลิ่นผายลมของเขาไม่เหม็นเลยสักนิด แค่มีกลิ่นแรงนิดหน่อยเท่านั้นเอง
แต่ ณ ตอนนี้เวลานี้ ก็ยังต้องนำทฤษฎีดั้งเดิมของท่านแม่ออกมา
เย่ซิวตู๋เกือบมิอาจยับยั้งการแสดงออกบนใบหน้าของตนเองไว้ได้ โดยเฉพาะเห็นเขานึกคำตอบนี้ออกมาได้หลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ทำให้…พูดไม่ออก
“อืม อย่าเป็นกังวล คนเหล่านี้ ยังไม่ใช่ศัตรูของข้า”
“ฟู่ ดีมากเลย เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องบ่มผายลมแล้ว” หนานหนานตบหน้าอก รู้สึกโล่งไปทั้งตัว
เย่ซิวตู๋แอบถอนหายใจ ในชีวิตประจำวันของอวี้ชิงลั่ว นางสอนทักษะป้องกันตัวให้หนานหนานอย่างไรกันแน่?
เสี่ยวเอ้อคนนั้นเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวและคิดจะหนีไป จึงรู้สึกได้ในทันทีว่าถูกท้าทายอำนาจ จึงโบกมือเพื่อให้อันธพาลก้าวเท้าไปด้านหน้าและไล่ทุบพวกเขาให้ออกไป
ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะขยับตัว ก็ได้ยินเสียงตำหนิวัยละอ่อนดังขึ้นจากทางด้านหน้า “หยุดนะ”
ทุกคนถึงกับตกใจ แม้แต่คนที่มายืนอออยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเพื่อดูความครึกครื้นก็ชะงักไปด้วย ก่อนจะหันมองไปตามต้นเสียง
กลับพบว่ารถม้าที่มีความงดงามสองคันได้มาจอดลงตรงหน้าประตูใหญ่ ในเวลานี้มีเด็กหนุ่มแต่งตัวอย่างประณีตกำลังก้างลงมาจากด้านในรถม้า ทั้งยังกล่าวตำหนิเสี่ยวเอ้อในร้านอย่างโกรธเคือง “ไม่เห็นหรือว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน? ในเวลานี้เช่นนี้ยังกล้าลงมืออีก?”
“คุณ…คุณชายหยวน?” เสี่ยวเอ้อถึงกับตกใจ รีบสั่งให้คนวางไม้ตะบองลง และเดินเข้าไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างระมัดระวัง
“ขอประทานอภัยคุณชายหยวน ภายในโรงเตี๊ยมมีคนมาสร้างความวุ่นวาย พวกเรากำลังไล่พวกเขา จึงมิทันได้สังเกตเห็นพวกท่าน ต้องขอประทานอภัยจริง ๆ เชิญขอรับ เชิญขอรับ เชิญด้านในขอรับ”
คุณชายหยวนและคุณชายว่านที่เป็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นลูกค้าประจำของหอหลินสุ่ยของพวกเขา เป็นลูกค้าคนพิเศษ และเป็นลูกค้าที่พวกเขามิอาจสร้างความขุ่นเคืองได้ พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นบุตรชายของขุนนางภายในราชสำนัก ในทุก ๆ วันมักจะทำตัวหยิ่งผยอง หากพวกเขาสร้างความขุ่นเคือง บางทีอาจจะกลับมาแก้แค้นก็เป็นได้
หยวนสือจ้องเสี่ยวเอ้อปราดหนึ่ง ก่อนจะหันมาเหลือบมองหนานหนานด้วยความดูหมิ่น ตอนที่เขาสบตาเข้ากับเย่ซิวตู๋ จู่ ๆ ภายในใจของเขาก็เกิดความหนักอึ้ง ราวกับมีอารมณ์ที่เศร้าหมองและหวาดกลัวพรั่งพรูออกมา
เขารีบเบือนสายตา ก่อนจะพูดกับเสี่ยวเอ้อด้วยน้ำเสียงดุดัน “คนแบบนี้แค่จับมัดแล้วโยนออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว มาเสียเวลาขวางทางพวกข้าอยู่ที่นี่ มิเท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ? รู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ในรถม้าเป็นใคร? โหวกเหวกโวยวายทำให้แขกผู้มีเกียรติตกใจจะทำเช่นไร?”
“ขอรับ ๆ สิ่งที่คุณชายหยวนสอนถูกต้องเลยขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะให้คนจัดการพวกเขาเองขอรับ”
หยวนสือแค่นเสียงเย็นอีกหน ก่อนจะหมุนกายแหวกม่านบนรถม้า กล่าวกับคนที่อยู่ด้านในด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง ลงจากรถเถิด”
คนที่อยู่ด้านในรถม้าส่งเสียง ‘อืม’ อย่างเย็นชาออกมา ก่อนจะกระโดดออกมาจากด้านใน ยืนอยู่ที่ขอบของรถม้าอย่างมั่นคง สายตาที่เฉียบคมคู่นั้นกวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นี่ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหันมองหยวนสือที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีเยาะเย้ย “เจ้าบอกว่า หอหลินสุ่ยแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ข้าได้เห็นกลับมิได้เป็นเช่นนั้น? ให้พวกเรารอนานขนาดนั้นยังพอทน หน้าประตูแห่งนี้ มิว่าใครก็มายืนได้งั้นหรือ?”
หยวนสือแอบหน้าเจื่อน “พี่รอง นี่เป็นเพราะมีคนสร้างปัญหา หากพี่รองไม่มีความสุข ข้าจะรีบสั่งให้คนทุบคนพวกนี้ออกไป พี่สามว่านก็รอพวกเราอยู่ด้านบนแล้ว พวกเราขึ้นไปก่อนเถิด”
“นั่นสิ พี่รอง ไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนนอกคอกเหล่านี้หรอก” ข้างกายยังมีอีกสองคนที่อายุไม่ต่างกันเข้ามาห้อมล้อมไว้ ท่างทางราวกับจะทำให้พี่รองคนนั้นพึงพอใจ
คนที่ยืนดูความครึกครื้นอยู่ข้าง ๆ ต่างก็เป็นคนมีไหวพริบ เมื่อเห็นคุณชายเหล่านี้ที่ชอบโอ้อวดพละกำลังเป็นประจำต่างก็กำลังประจบประแจงบุคคลผู้นี้ ต่างก็ทราบได้ว่าสถานะของคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา
คนที่ถูกเรียกว่าพี่รองพยักหน้า ถือว่าเห็นด้วยกับคำพูดของหยวนสือ “ไล่คนพวกนี้ออกไป อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้าอยู่ที่นี่ เพราะมันกระทบต่ออารมณ์ในการกินอาหารของข้า”
“ขอรับ พี่รอง” หยวนสือพยักหน้า ก่อนจะหันมาตะโกนใส่เสี่ยวเอ้อ “ยังไม่ลงมืออีก?” ครั้นกล่าวจบ ก็มาเดินนำทางให้พี่สองคนนั้น “ทางนี้ขอรับ พี่รองระวังด้วย”
เสี่ยวเอ้อเห็นว่าหยวนสือเอ่ยปากพูด พลังก็ยิ่งน่าทึ่ง เขาจึงเรียกลูกสมุนเพื่อลงมือกับเย่ซิวตู๋
หนานหนานย่นหน้าจนกลายเป็นจีบซาลาเปา ถลึงตามองคนเหล่านั้นด้วยความโกรธเคือง โดยเฉพาะหยวนสือและคนเหล่านั้น ที่ถูกเขาใช้สายตาเข่นฆ่าที่ดุดันยิ่งขึ้น “หากมีเจ้าเสือน้อยอยู่ด้วย ข้าคงปล่อยให้มันไปกัดคนพวกนี้ให้ตายแล้ว น่าโมโห น่าโมโหเกินไปแล้ว ข้าโมโหเสียจนไม่คิดแม้แต่จะผายลมใส่พวกมันแล้ว แต่อยากวางยาพิษเสียเลย”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว โบกมือวูบหนึ่ง ตบเข้าใส่หน้าของคนที่ปิดบังใบหน้าและกำลังปรี่ตัวเข้ามาทำร้ายพวกเขา
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น จุดที่อันธพาลกระแทกลง ขวางทางกลุ่มของหยวนสือได้อย่างพอดิบพอดี
เหล่าคุณชายที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินถึงกับขนลุกซู่ หันกลับมามอง แสดงท่าทางกระตือรือร้นที่จะเข้ามาจัดการเย่ซิวตู๋และหนานหนาน
“เย่หลานผิง ไม่เจอหน้ากันไม่กี่ปี ท่าทางของเจ้าดูเติบโตขึ้นนะ” เย่ซิวตู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะมองไปยังพี่รองที่หันกลับมาคนนั้น
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
๕๕๕๕ พลังผายลมนี่มันคืออะไร ชาติก่อนเป็นสกั๊งค์เหรอหนานหนาน
เย่หลานผิงนี่เป็นอะไรกับนายท่านเย่หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)