อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 665 โจ่งแจ้ง
ตอนที่ 665 โจ่งแจ้ง
ตอนที่ 665 โจ่งแจ้ง
ลูกดอกนั้นพุ่งมาเร็วมาก มันพุ่งตรงเข้าใส่เสิ่นอิงในทันใด เมื่อตอนผ่านตัวเหมิงหลัวอวี้ไปก็นำพาลมเย็นวูบหนึ่งมาด้วย ทำให้นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นอิงรีบซ่อนลูกดอกไว้ข้างหลัง หลังรอให้นางก้มหน้าลงไปอ่านหนังสืออีกครั้งก็หันหลัง หยิบเอากระดาษข้อความออกมาจากลูกดอก
ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็ดูหวาดกลัว พร้อมกล่าวกับเหมิงหลัวอวี้ “เจ้าอ่านหนังสือไปก่อนนะ ข้าออกไปข้างนอกครู่หนึ่งก็จะกลับ”
เหมิงหลัวอวี้งุนงง ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “เจ้าค่ะ”
เสิ่นอิงออกจากห้องอย่างรวดเร็ว รีบลงไปชั้นล่างแล้วออกไปนอกโรงเตี๊ยม จากนั้นก็เดินไปทางซ้ายมือ
จนกระทั่งมาถึงมุมหนึ่งในตรอกมืด เขาก็หยุดกะทันหัน กล่าวกับชายที่ยืนหันหลังให้อยู่ไม่ไกล “นายท่าน”
“พวกเขาสองแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสิ่นอิงแอบหัวเราะอยู่ในใจ รู้อยู่แล้วว่านายท่านปล่อยไปไม่ลง
“ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับ วันนี้แม่นางอวี้ไปที่จวนผู้อาวุโสสกุลเยว่ ไปรักษาอาการป่วยของเหมิงหรง เพียงแต่ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่าหมอเฒ่าฉยงซานก็อยู่ที่ดินแดนเหมิงด้วย”
เรื่องนี้เย่ซิวตู๋รู้แล้ว หมอเฒ่าฉยงซานมาที่นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงถึงกับส่งคนไปที่โรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่ เพียงแต่หมอเฒ่าฉยงซานออกไปเก็บยาและไม่อยู่ที่นั่น
เสิ่นอิงเห็นว่าสีหน้าของนายท่านไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ก็เล่าเรื่องที่เขาเห็นในโรงเตี๊ยมเมื่อครู่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้จากหนานหนานหรือแม่นางอวี้ว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร จึงยากที่จะออกความคิดเห็น
“หนานหนานเรียกหมอเฒ่าฉยงซานว่าท่านปู่ฮั่ว ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากขอรับ”
เย่ซิวตู๋ประหลาดใจเล็กน้อย ชิงเอ๋อร์รู้จักหมอเฒ่าฉยงซานด้วยหรือ แต่กลับไม่เคยได้ยินนางกล่าวถึงเลย
กระทั่งก่อนหน้านี้ที่พูดถึงอูตง ชิงเอ๋อร์ก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยังดูเหยียดหยามเป็นอย่างมาก
เพียงเย่ซิวตู๋คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว คงไม่ใช่ว่าชิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าคนที่นางรู้จักคือหมอเฒ่าฉยงซานใช่หรือไม่ เมื่อนึกถึงนิสัยของนางที่ไม่ค่อยจำเรื่องต่างๆ นัก ก็คิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้
เสิ่นอิงเพียงรายงานเรื่องของทั้งสองคน นี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อันใด เพียงกินดื่มและใช้ชีวิตตามปกติ หนานหนานเขารู้ดี แต่แม่นางอวี้อยู่ที่จวนผู้อาวุโสสกุลเยว่จะเกิดเรื่องอันใดบ้าง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ออก
เพียงแต่ว่า…
เสิ่นอิงมองท่าทางจริงจังของนายท่าน เขาก็ลังเลที่จะพูด
“ทำไม ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
เสิ่นอิงหัวเราะแห้ง ครุ่นคิดแล้วก็กล่าว “นายท่าน วันนี้หนานหนานเซื่องซึมอยู่ทั้งวัน นอนอยู่บนโต๊ะไม่ค่อยพูดจา ราวกับไร้เรี่ยวแรงเลยขอรับ”
“ป่วยหรือ” เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว แต่หลังจากคิดดูก็คงไม่ถูก ชิงเอ๋อร์เป็นหมอ หนานหนานเองก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง หากปวดหัวมีไข้บ้างย่อมไม่มีปัญหา
“ไม่ใช่ขอรับ เพียงแต่ว่าในใจหนานหนานกังวลเรื่องการประชุมสุราครั้งใหญ่ เขารู้ว่านายท่านมีเดิมพันกับคนอื่น คิดหนักอยากจะให้นายท่านชนะ เมื่อวานเขากล่าวเรื่องนี้กับแม่นางอวี้ แต่แม่นางอวี้กล่าวว่าตอนนี้หมักเหล้าก็ไม่ทันแล้ว หนานหนานจึงคิดหนักแต่ก็คิดไม่ออก ในใจกระวนกระวายมาก แม้แต่ข้าวก็กินได้น้อยลงขอรับ”
ถึงแม้จะยังกินขนมได้เหมือนปกติ แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ก็ไม่ได้กระตือรือร้นนัก
เย่ซิวตู๋ตะลึง ได้ยินเสิ่นอิงบอกว่าหนานหนานอยากให้เขาชนะมาก ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เจ้าเด็กนั่น ปกติก็ดูไม่เอาถ่าน แต่บางครั้งกลับสามารถทำให้คนอบอุ่นหัวใจได้
“ชิงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรเลยหรือ?” นางอยากให้เขาชนะบ้างหรือไม่
เสิ่นอิงสำลัก ไม่รู้ว่าควรกล่าวความจริงหรือไม่
ครุ่นคิดแล้วก็กัดฟันกล่าวออกมา “แม่นางอวี้… กล่าวว่า ในเมื่อนายท่านไปเดิมพันกับผู้อื่น ก็ต้องมีแผนในใจอยู่แล้ว ให้หนานหนานไม่ต้องกังวลขอรับ”
สตรีผู้นั้น… สีหน้าของเย่ซิวตู๋โกรธเกรี้ยวขึ้นมา อยากจะบีบคอนางให้ตายเสียจริง
“คืนนี้เจ้าพาเด็กสองคนนั้นนอนนะ”
เสิ่นอิงสั่นไปทั้งตัว นายท่าน ท่านต้องพูดตรงไปตรงมาเพียงนี้เชียวหรือ โจ่งแจ้งเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้เขาไม่คิดมาก แต่ก็พอเดาได้ว่านายท่านต้องการจะทำสิ่งใด
เขาก้มหน้าเงียบๆ “ขอรับ”
เย่ซิวตู๋โกรธอวี้ชิงลั่วแทบตาย แต่รู้ว่าหนานหนานเป็นเช่นนั้น ก็ยังอดใจไม่ค่อยได้ “เจ้าจงบอกหนานหนานว่าตอนโม่เสียนมาที่นี่ก็ได้นำเหล้าที่เขาหมักแล้วมาด้วย การจะเข้าร่วมงานสุราจึงไม่ใช่ปัญหา”
อวี้ชิงลั่วคนใจร้ายผู้นั้น อย่างไรก็เดาใจของตนออกแล้ว
เสิ่นอิงโล่งใจ พยักหน้า “ขอรับ นายท่าน”
ในที่สุดก็สามารถพูดคำนี้ได้แล้ว เขารู้สึกอัดอั้นมานานแล้ว กลัวจริงๆ ว่าจะต้องเห็นหนานหนานผอมลง ก็อดใจไม่ค่อยได้ที่จะบอกเขา
โชคดีที่นายท่านรักหนานหนานมาก โล่งใจไปที
เย่ซิวตู๋ได้รู้เรื่องที่จำเป็นต้องรู้แล้ว ก็หันหลังเดินจากไป
แต่เดินไปสองก้าวก็หยุดลง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมา “พวกโม่เสียนมาถึงดินแดนเหมิงแล้ว ข้างกายชิงเอ๋อร์ไม่มีใครดูแล ตอนนางต้องรักษาอาการป่วยของเหมิงหรงคงต้องการความช่วยเหลือ พรุ่งนี้ข้าจะให้หงเย่มาคอยอยู่ข้างนางเพื่อช่วยเหลือ”
หงเย่เป็นคนรอบคอบ ทักษะฝีมือก็ไม่เลว หากชิงเอ๋อร์ต้องการตามหาอันใดหรือต้องการลงมือกระทำสิ่งใดอย่างลับๆ หากมีหงเย่อยู่ก็จะสะดวกกว่า
เสิ่นอิงพยักหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เย่ซิวตู๋ก็ไม่อยู่แล้ว
เขาถอนหายใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างช้าๆ อีกครั้ง
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องคิดคือ จะบอกแม่นางอวี้อย่างไรว่าคืนนี้ให้เด็กทั้งสองคนนอนกับตน
เขาถอนหายใจ นายท่านสร้างปัญหาให้เขาอีกแล้ว
เสิ่นอิงก้าวเข้าประตูไปอย่างขมขื่น ใครจะรู้ว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของทั้งสองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะข้างประตูดังเข้ามาในหู
ฝีเท้าของเขาช้าลง เลิกคิ้วสูงขึ้น ทันใดนั้นก็คิดวางแผน
เมื่อกลับมาที่ห้อง ก็พบว่าหนานหนานยังไม่ตื่น เสิ่นอิงจึงนำเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงหน้าเหมิงหลัวอวี้ มองนางแล้วยิ้ม
เหมิงหลัวอวี้หันหน้ามามองอย่างสงสัย “ท่านลุงเสิ่น มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“เสี่ยวอวี้ เมื่อครู่ข้าได้ยินคนข้างล่างพูดกัน คืนนี้มีเทศกาลโคมไฟทางฝั่งตะวันออก สวยมากเลย ลุงเสิ่นพาเจ้ากับหนานหนานไปดูดีหรือไม่?”
เหมิงหลัวอวี้กะพริบตา ดวงตาของนางเป็นประกาย จากนั้นก็ดับวูบลงอีกครั้ง “ไม่ไปดีกว่าเจ้าค่ะ ถ้าหากถูกคนจำได้เข้า จะทำให้ท่านเหนื่อยเสียเปล่าๆ”
“เด็กโง่ เจ้าใส่หมวกขุนนางอยู่นะ อีกอย่างข้างกายก็มีข้าอยู่ เจ้าจะกลัวอันใด อีกทั้งนี่ก็ดึกแล้ว ต่อให้มีคนเห็นเจ้าก็เห็นไม่ชัดหรอก คงไม่กล้ายืนยันตัวใช่หรือไม่เล่า?” เสิ่นอิงพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างถึงที่สุด
เหมิงหลัวอวี้ใจเต้น นางเติบโตในครอบครัวร่ำรวย นอกจากช่วงเวลาที่หลบหนีนี้แล้วก็เคยเห็นอะไรมามากมาย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมเทศกาลโคมไฟ แม้กระทั่งการได้ไปเดินเล่นตามถนนเพื่อรื่นเริงกับงานเทศกาล
แต่ถึงในใจจะตื่นเต้น นางก็ยังส่ายหน้า “ท่านลุงเสิ่น ท่านพาหนานหนานไปเถอะ ข้าอยู่อ่านหนังสือในโรงเตี๊ยมก็ได้เจ้าค่ะ”
“เฮ้อ หากเจ้าไม่ไป หนานหนานจะต้องไม่อยากไปแน่ ครั้งก่อนเขาบอกกับข้าว่ารู้สึกไม่ดีที่ทิ้งเจ้าไว้โรงเตี๊ยมเพียงลำพัง ไม่เช่นนั้นในใจจะฟุ้งซ่าน เล่นอะไรก็ไม่สนุก เจ้าอยากให้หนานหนานพลาดเทศกาลโคมไฟครั้งนี้แล้วก็ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ”
เหมิงหลัวอวี้สับสน เห็นแววเรียบเฉยในดวงตาของเสิ่นอิงก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงพยักหน้า “ก็ได้เจ้าค่ะ”
เสิ่นอิงโล่งอก จัดการทางด้านนี้แล้ว ทางด้านหนานหนานก็ยิ่งง่ายมาก
ตกดึกคืนนั้นหลังรอจนอวี้ชิงลั่วกลับมา เขาก็บอกว่าจะพาเด็กสองคนไปดูงานเทศกาล หากกลับมาดึกก็จะให้เด็กทั้งสองคนค้างกับตน เพื่อไม่ให้มารบกวนนาง
อวี้ชิงลั่วเห็นแววตาเด็กสองคนเป็นประกาย มีเสิ่นอิงคอยดูก็คงไม่เกิดเรื่องอะไร จึงพยักหน้าเห็นด้วย
เพียงแต่เมื่อยามเข้านอนในตอนดึก ก็รู้สึกใจเต้น เหมือนว่าจิตใจไม่สงบเลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สงสารเสิ่นอิงยังไงไม่รู้ เป็นที่รองรับมือเท้านายท่านกับแม่นางอวี้ตลอด
นายท่านคิดจะทำอะไรชิงลั่วน่ะ ถึงให้ลูกน้องพาเด็กๆ ออกไปแบบนี้
ไหหม่า(海馬)