อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 7 ในห้องไม่มีคนอยู่
ตอนที่ 7 ในห้องไม่มีคนอยู่
เจ้าเสือดำวางท่าทางสง่างามและไม่แยแส ดวงตาของมันหรี่ปรือเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านาย มันจึงขยับหัวช้า ๆ ดวงตาดุร้ายจ้องเขม็งไปยังผู้พิทักษ์ทมิฬที่อยู่กลางห้องโถงปราดหนึ่ง
“ผู้บุกรุกเป็นใคร?” บุรุษผู้นั้นเอ่ยปากถาม น้ำเสียงมิได้แสดงความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
“รายงานนายท่าน คนที่เข้ามาดูเหมือนจะเป็นคุณหนูอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีขอรับ ข้าน้อยเห็นเสื้อผ้าของนางทำมาจากวัสดุคุณภาพสูง เป็นคนแปลกหน้า ดูจากพลังในการก้าวเดินแล้วน่าจะไม่มีกำลังภายใน ข้าน้อยคิดว่า…อาจเป็นคุณหนูจากตระกูลใดสักตระกูลหลงเข้ามา…”
“เจ้าออกไปได้” บุรุษผู้นั้นไม่รอให้เขากล่าวจบ ก็โบกมือเล็กน้อยและเอ่ยปากพูดแฝงด้วยท่าทางเหลืออด
ผู้พิทักษ์ทมิฬชะงักไปเล็กน้อย “นายท่าน?”
บุรุษผู้นั้นมิได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก ทว่าเสิ่นอิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขากลับหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูหลงทางเข้ามา หรือมีความคิดที่จะเข้ามาสอดแนมที่จวนโม่ จุดจบก็มีอยู่เพียงอย่างเดียว เข้ามาในค่ายกลร้อยบุษบาแล้ว ไม่มีใครออกไปได้ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเถิด”
หากเดินหลงทางเพราะไม่ระมัดระวังตัวจริง ๆ ก็ทำได้เพียงแค่โทษความโชคร้ายของนางเอง ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้นายท่านมิได้มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องอื่น คุณหนูผู้นั้นเป็นใคร ไม่มีความจำเป็นที่นายท่านต้องเปลืองสมอง
ผู้พิทักษ์ทมิฬตัวแข็งทื่อ เขาพยักหน้าและถอยออกไป
ประตูของห้องโถงถูกปิดลงอีกครั้ง จู่ ๆ บุรุษที่อยู่หลังม่านก็ไอออกมาเบา ๆ สองหน
โม่เสียนและเสิ่นอิงก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน “นายท่าน บาดแผลของท่าน…”
“ไม่เป็นไร” บุรุษยกมือขึ้นห้ามทั้งสองคนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้ามา พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “บาดแผลเล็ก ๆ แค่นี้ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
โม่เสียนและเสิ่นอิงหันสบตากัน นัยน์ตาปรากฏริ้วความกังวลจาง ๆ ขึ้นพร้อมกัน บาดแผลของนายท่านแม้ว่าจะมิได้รุนแรงถึงชีวิต แต่ก็มิใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างที่เขาพูด หากมิได้รับการดูแลให้ดี เกรงว่าคงไม่อาจหายดีได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
“โม่เสียน พิษที่อยู่ในร่างกายของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ทั้งสองคนยังคงกังวลใจ ทว่าหลังม่านกลับเกิดเสียงทุ้มต่ำดังออกมาอีกหน
โม่เสียนรีบดึงสติกลับมา กล่าวเสียงทุ้ม “ข้าน้อยไปหาอูตงมาแล้ว เพียงแต่อูตงก็มิอาจทำอะไรกับพิษนี้ได้ขอรับ”
เสิ่นอิงหันมองเขาด้วยความประหลาดใจ “แม้แต่อูตงก็มิอาจถอนพิษได้?”
“ขอรับ” โม่เสียนยิ้มอย่างขมขื่น เขาลูบใบหน้าตัวเองที่ยังคงซีดเซียว ความรู้สึกบนฝ่ามือก็แข็งชาไปเล็กน้อย มิได้มีความอบอุ่นหรือยืดหยุ่นเหมือนกับเมื่อก่อน เขาคิดว่านี่คงเป็นผลกระทบจากสารพิษที่อยู่บนร่างกายกระมัง ทว่าสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ นอกจากอาการอ่อนแรงเป็นครั้งคราว กลับมิได้รู้สึกว่าตนเองกำลังจะตาย เขาขมวดคิ้วและพูดถึงความรู้สึกออกมา “ข้าคิดว่าพิษนี้คงมิได้อันตรายถึงชีวิต เพียงแต่ทำให้หมดแรงก็เท่านั้น”
“ต่อให้หมดแรง ก็เป็นปัญหาใหญ่” เสิ่นอิงขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงเด็กที่นอนอยู่บนเตียงคนนั้นในเวลานี้ ก็อดส่ายหน้ามิได้ มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นอีกหน “โม่เสียน ข้าว่าเจ้าพาเด็กคนนั้นกลับไปหามารดาของเขาจะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเห็นว่ามิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็มิอาจยืนยันได้ว่าหากพิษนี้อยู่ในร่างกายของเจ้านานวันเข้า จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายหรือไม่”
ครั้นพูดถึงหนานหนาน โม่เสียนก็แอบขบฟันกรอด “รอให้ข้าได้ยาถอนพิษก่อนเถอะ ข้าจะจัดการเจ้าเด็กนั่นซะ”
เสิ่นอิงก้มหน้าหัวเราะอีกครั้ง เจ้าเด็กคนนั้นมิได้ดูคล้ายกับคนที่จะพรากชีวิตคนอื่นตามใจชอบ ที่เขาวางพิษใส่โม่เสียนกลับดูเหมือนเล่นตลกเสียมากกว่า
บุรุษที่อยู่หลังม่านฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างเงียบ ๆ นิ้วมือของเขายังคงลูบเจ้าเสือดำที่นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ ขบกรามเบา ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เปล่งเสียงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จงไปดูเด็กคนนั้นก่อนเถิด”
“…” โม่เสียนพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดกะทันหัน เขาหันไปมองตำแหน่งที่มีม่านกั้นด้วยความประหลาดใจ คิ้วขมวดเข้าหากัน “นายท่าน อูตงบอกว่าบาดแผลที่อยู่บนร่างกายของท่านไม่เหมาะที่จะเดินนะขอรับ”
“ข้ายังมีพยัคฆ์ทมิฬอยู่” ระหว่างที่พูด เขาก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น ฝ่ามือตบลงบนหัวของเสือดำเบา ๆ เสือดำตัวนั้นรีบลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม มันยกหัวขึ้นส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำใส่ตำแหน่งที่อยู่ด้านหน้าม่านหนึ่งเสียง มีพลังที่น่าทึ่งยิ่ง
“นายท่าน ต่อให้…” โม่เสียนยังอยากโน้มน้าวใจอีกครั้ง ทว่ากลับถูกเสิ่นอิงรั้งไว้ เขาแอบโกรธเคืองในทันที แต่ก็ยอมปิดปากอย่างเชื่อฟัง ก็จริง ในเมื่อนายท่านตัดสินใจแล้ว คำพูดของพวกเขาทั้งสองจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
โม่เสียนแอบถอนหายใจ เขาทำได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นและเดินนำทางอยู่ด้านหน้า ทั้งสามคนและหนึ่งพยัคฆ์มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่พักของหนานหนานเมื่อครู่อย่างช้า ๆ
จวนตระกูลโม่กินพื้นที่กว้างขวางมาก เดิมทีเรือนของตระกูลใหญ่สามสี่เรือนล้วนถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน มีสวนดอกไม้เดี่ยวอยู่สามถึงสี่จุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งสวนด้านหน้าและด้านหลังที่ยิ่งห่างไกลออกไป
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขามาถึงโม่สุ่ยเซวียนที่พักที่โม่เสียนเตรียมไว้ให้หนานหนาน ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงแล้ว
ครั้นประตูถูกเปิด โม่เสียนก็ตะโกนไปที่เตียงด้วยสีหน้าบุญไม่รับ “เจ้าผีน้อย!!!”
“เจ้าผีน้อย เจ้าผีน้อย?”
หลังจากเรียกอยู่สองสามครั้ง อย่าว่าแต่เสียงขานรับเลย แม้แต่เสียงขยับตัวก็ยังไม่มี
ก่อนที่เจ้าเสือดำจะเข้าไปด้านใน บุรุษที่นั่งอยู่บนหลังของมันก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “โม่เสียน ไม่ต้องตะโกนแล้ว ในห้องไม่มีคนอยู่”
“อะไรนะ?” โม่เสียนชะงัก เขาจุดเทียนที่อยู่บนโต๊ะและเดินเข้าไปที่เตียง ความเย็นครอบคลุมทั่วทั้งเตียงแล้ว มิได้มีกลิ่นอายของมนุษย์แม้แต่น้อย
สีหน้าของเขาดำทะมึนลงทันใด เจ้าผีน้อยนี่ วิ่งหนีไปไหนแล้ว?
เสิ่นอิงเดินหัวเราะเข้ามาด้านใน เขายื่นมือตบบ่าอีกฝ่ายและพูดเคล้ารอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าพิษที่อยู่บนร่างกายของเจ้าไม่เพียงแค่ทำให้เจ้าหมดแรง แต่ยังทำให้ความสามารถในการได้ยินถดถอยลงด้วยนะ”
โม่เสียนถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าอึมครึม “ยังจะหัวเราะอีก พวกเราต้องรีบตามหาเด็กนั่นให้เจอ ภายในจวนโม่มีค่ายกลทุกหนแห่ง หากไม่ระวังเจ้าผีน้อยนั่นอาจตายอยู่ในนั้นได้”
มือของเสิ่นอิงแข็งทื่อ รอยยิ้มสดใสถูกดึงกลับไป เรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะจริงด้วยสิ
“แยกกันหาเถอะ” บุรุษที่นั่งอยู่บนหลังเสือดำกล่าวเสียงเบา มีร่องรอยความตึงเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าหยิ่งทระนงแสนเย็นชาจาง ๆ เขานั่งยืดตัวสูงมองดูภายในห้องปราดหนึ่ง ก่อนจะตบหลังของพยัคฆ์เบา ๆ เจ้าเสือดำจึงหมุนตัวและเดินออกไปด้วยท่าทางสูงส่งและเย็นชา
เสิ่นอิงและโม่เสียนที่อยู่ด้านหลังหันมาสบตากัน พวกเขาทำได้แค่ยักไหล่อย่างจนปัญญาและรีบสั่งให้คนออกตามหา
การย่างก้าวของเสือดำไม่เร็วและไม่ช้า บุรุษที่อยู่บนหลังของมันหลับตาลง ปล่อยให้พยัคฆ์ก้าวเท้าพาเขาเดินไปด้านหน้า
ทันใดนั้น ฝีเท้าของเสือดำก็ชะงักไป ขนที่อยู่บนร่างกายของมันตั้งชันขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามันแอบโกรธเคือง
บุรุษผู้นั้นลืมตาขึ้น เขายื่นมือลูบบนตัวของพยัคฆ์ เสือดำจึงนิ่งสงบลงในเวลาอันรวดเร็ว มันหันหัวมาถูคลอเคลียที่ฝ่ามือของเขาอย่างประจบประแจง จากนั้นก็หันไปคำรามเสียงทุ้มต่ำใส่ประตูที่อยู่ตรงหน้า
สายตาของบุรุษเลื่อนไปเล็กน้อย เขาจ้องมองประตูหินที่อยู่ห่างจากจุดที่ยืนอยู่ยี่สิบหมี่ สายตาปรากฏความประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่ ประตูหินที่อยู่ตรงหน้าควรมีคนยืนเฝ้าสองคนถึงจะถูก เหตุไฉนตอนนี้กลับไม่มีใครยืนอยู่เลย
“ไป” เขาแผดเสียงทุ้มต่ำ เจ้าเสือดำจึงย่างก้าวอย่างสง่างามอีกครั้ง
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ก็พบว่าคนสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูบัดนี้กำลังนอนอยู่ด้านหลังประตูหินสลบไสล!!!
สีหน้าของบุรุษพลันเปลี่ยนสี ตอนที่เขามองไปยังประตูหินอีกครั้ง พลังงานความเย็นทั่วทั้งร่างกายก็เพิ่มสูงขึ้น ตกใจเสียจนเสือดำที่อยู่ด้านล่างของเขาเริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“เข้าไป” เขาตบพยัคฆ์ทมิฬเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือผลักประตูหินหนักอึ้งบานนั้น
ตอนที่ประตูเพิ่งเปิดออก ข้างหูก็ได้ยินเสียงหนุบหนับดังขึ้น “อร่อย เอิ๊ก อร่อยมากเลย เอิ๊ก ๆ ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องไม่ผิดแน่นอนที่ตามมา”
…………………………
สารจากผู้แปล
ไปจับตัวเด็กแสบกลับมาแล้วล่ะ ต่อให้มีค่ายกลทั้งจวนก็โดนป่วนนะ
ไหหม่า (海馬)