อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 705 ไร้คนสืบสกุล
ตอนที่ 705 ไร้คนสืบสกุล
ตอนที่ 705 ไร้คนสืบสกุล
“ทว่าอะไร?” ผู้อาวุโสสกุลเยว่ตกใจ เขารีบเงยหน้าขึ้นถาม
อวี้ชิงลั่วก้มมองเขาอย่างครุ่นคิด แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เกรงว่าท่านประมุขจะไม่เต็มใจเจ้าค่ะ”
“ตราบใดที่ช่วยชีวิตหรงเอ๋อร์ไว้ได้ จะเงื่อนไขอะไรแม่นางถังก็พูดออกมาเถิด ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตของข้าก็ไม่เป็นอะไร”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจยาวลึก
ท่าทางเช่นนี้ทำให้อูเหมี่ยนเซิงที่อยู่ข้าง ๆ เผลอขมวดคิ้ว “แม่นางถัง เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องแลกชีวิตกันจริง ๆ?”
“โอ้ ไม่ใช่เลย” อวี้ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้มีวิธีเดียวที่จะช่วยคุณชายเหมิงได้ แต่วิธีนี้จะทำให้คุณชายเหมิง… ไม่อาจมีทายาทได้”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ผู้อาวุโสสกุลเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่เหมิงเคอที่ยืนอยู่ข้างหลังเขามีปฏิกิริยารุนแรงจนโพล่งออกมา
ไม่มีทายาท ไม่มีทายาทอย่างนั้นหรือ?
กล่าวคือจะไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป แล้วจะทำอย่างไร? หากไม่มีลูกอยู่เคียงข้าง แล้วยามแก่ชราจะมีสถานะเช่นไร?
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ตกตะลึง ไม่มีทายาทหรือ? เช่นนั้นตระกูลของเขาก็จะ… ไร้คนสืบสกุลหรือ?
เขากัดฟันแน่น พลางรู้สึกวิงเวียน
ชีวิตนี้เขาทำเวรกรรมอะไรไว้ เหตุใดสวรรค์จึงโหดร้ายกับเขานัก? ลูกชายมีปานรูปดอกไม้แต่พิการ ในที่สุดเขาก็เติบโตมาอย่างปลอดภัย แต่จู่ ๆ ก็ล้มป่วยหนัก เมื่อได้พบกับแม่นางถัง เขาก็คิดว่าในที่สุดก็จะสามารถเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ดี
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าการไร้คนสืบสกุลก็คือ ในภายภาคหน้าเขาจะกล้าสู้หน้ากับบรรพบุรุษของตนได้อย่างไร?
เมื่ออวี้ชิงลั่วมองหน้าผู้อาวุโสสกุลเยว่ นางย่อมรู้ว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เรื่องการไร้คนสืบสกุลไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเพียงคนเดียว
นางมองเหมิงเคออีกครั้ง และเห็นเหมิงเคอกำลังกัดริมฝีปากของตนด้วยท่าทางกระวนกระวาย
ความจริงแล้วอวี้ชิงลั่วค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น แม้ว่าเหมิงหรงคนนี้จะพิการ แต่เขาก็ยังทำหน้าที่สามีในห้องได้อย่างสมบูรณ์ แต่เหมิงเคอผู้นี้แต่งงานกับเหมิงหรงมาห้าหกปีแล้วก็ยังคงไม่มีบุตร แต่สาวใช้ห้องข้างของเหมิงหรงกลับให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหมิงเคอจะไม่อาจมีลูกได้? หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมิงหรง จะไม่กลมเกลียวกันอย่างที่ลือกัน?
อวี้ชิงลั่วลูบคางของตนอย่างครุ่นคิด เกือบครึ่งชั่วยามนางก็พูดด้วยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสสกุลเยว่ รีบตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คุณชายเหมิงจะมีลูกไม่ได้อีกต่อไป แต่สุดท้ายเราก็จะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เขาจะอยู่ได้อีกนานสุดแค่วันเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
วันเดียวหรือ? ผู้อาวุโสสกุลเยว่สูดหายใจเข้าลึก ดวงตาของพลันมืดมน และเกิดอาการหน้ามืดจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
ในที่สุดเหมิงเคอก็อดไม่ได้ นางก้าวเข้ามาพูดว่า “ไม่ได้ จะได้อย่างไร… จะได้อย่างไร…” ไม่สามารถมีลูกได้อย่างนั้นหรือ?
ผู้อาวุโสสกุลเยว่จ้องมองนาง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็โบกมืออย่างอ่อนแรง “แม่นางถัง ช่วย ช่วยชีวิตเขาด้วย”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องช่วยชีวิตของหรงเอ๋อร์ไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่มีหลานชายเท่านั้น ทว่าเขาจะเสียลูกชายไปด้วย
“ท่านพ่อสามี…” เหมิงเคอตกใจ นางหันหน้ามาจ้องเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำทันที
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ไม่คิดจะสนใจนางตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่านางยังคงคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมาก
เหมิงเคอกัดฟันจ้องมองอวี้ชิงลั่วด้วยความแค้น ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีผู้นี้ ไม่เพียงแต่อวี้ชิงลั่วจะวางแผนใส่ร้ายสาวใช้คนสนิทเพื่อกำจัดคนของนางเท่านั้น แต่ยังต่อต้านนางครั้งแล้วครั้งเล่า ความอดทนของนางมีจำกัด หากไม่ใช่เพราะอวี้ชิงลั่วเป็นหมอที่ช่วยชีวิตสามีของนางไว้ นางคงโจมตีไปนานแล้ว
ทว่าตอนนี้เหมิงหรงไม่สามารถมีลูกกับนางได้อีกต่อไป แม้นางอยากจะตั้งครรภ์ปลอม นางก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้แล้วนางต้องทำอย่างไร?
นัยน์ตาของเหมิงเคอเต็มไปด้วยประกายเย็นยะเยือก หงเย่จ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา และยืนขวางหน้าอวี้ชิงลั่วไว้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งพร้อมกับกำมือแน่น
อวี้ชิงลั่วตบไหล่นาง แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
ในสถานที่เช่นนี้ เหมิงเคอคงไม่กล้าทำอะไร เว้นแต่ว่านางจะสติหลุดจนไม่สนเหตุผลใดทั้งสิ้น
อวี้ชิงลั่วได้ยินคำตอบของผู้อาวุโสสกุลเยว่แล้ว นางก็หันหลังกลับไปนั่งลงข้างเตียงทันที แล้วปักเข็มเงินบนทุกส่วนบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเข็มเงินเล่มสุดท้ายปักเข้าที่ขมับของเขา นางจึงระบายลมหายใจออกแล้วชักมือกลับ
ทั้งห้องเงียบกริบ ผู้อาวุโสสกุลเยว่และคนอื่น ๆ ถึงกับกลั้นหายใจ ขณะจ้องมองเหมิงหรงที่นอนอยู่บนเตียงและเริ่มขยับเล็กน้อย
จากนั้นครู่หนึ่ง เสียงครวญครางแผ่วเบาก็เปล่งออกมาจากลำคอของเหมิงหรง
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ดีใจมาก เขาเรียกเบา ๆ ว่า “หรงเอ๋อร์?”
เหมิงเคอต้องการวิ่งเข้าไปหา แต่ถูกอูเหมี่ยนเซิงขวางไว้ ตอนนี้อูเหมี่ยนเซิงไม่ไว้ใจเหมิงเคอเลย
การหายใจของเหมิงหรงแรงและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ครางเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปราวจิบชาครึ่งถ้วย ผู้อาวุโสสกุลเยว่ก็เห็นเปลือกตาของเหมิงหรงเริ่มไหวระริก จากนั้นไม่นาน เขาก็ลืมตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก
ผู้อาวุโสสกุลเยว่สูดหายใจเข้าลึก แล้วอุทานออกมาว่า “หรงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้ว”
“…พ่อ?” ลำคอของเหมิงหรงแห้งผากยิ่งนัก เสียงพูดที่ออกมานั้นแหบแห้งมาก แม้แต่คำว่า “พ่อ” ก็ยังฟังได้ไม่ชัด
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ตอนนี้แม้แต่คนที่เข้มแข็งมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
เขาใช้ความคิดและพลังมากมายไปจนเกือบจะหมดหวัง และคิดว่าเขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว แต่จู่ ๆ… ในที่สุด ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงลูกเรียกเขาว่าพ่ออีกครั้ง
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ยื่นมือเหี่ยวย่นจับมือของเหมิงหรงอย่างสั่นเทา ใบหน้าของเขาซีดเผือดและพูดอะไรไม่ออก เพียงแค่รีบสั่งให้คนไปเอาน้ำมาให้บุตรชายของเขาดื่มให้ชุ่มคอ
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “คุณชายเหมิงยังคงต้องพักผ่อนต่อในช่วงนี้ เขาจะไม่ตื่นนานเกินไป พูดคุยกันสองสามคำแล้ว ผู้อาวุโสสกุลเยว่ก็ปล่อยให้เขาพักผ่อนก่อนเถิด และเขาจะค่อย ๆ ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
เหมิงหรงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองไปยังอวี้ชิงลั่ว “เจ้าคือ… แม่นางถังใช่หรือไม่?” หลังจากได้ดื่มน้ำแล้ว เสียงของเขาก็ชัดเจนขึ้นมาก แต่ก็ยังพูดลำบากอยู่
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า
เหมิงหรงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณ… ข้ารู้ว่า…ข้าฟื้นขึ้นได้…เพราะแม่นางถัง ขอบคุณแม่นาง”
ผู้อาวุโสสกุลเยว่รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “หรงเอ๋อร์? ขณะที่เจ้าหมดสติ เจ้ายังได้ยินเสียงของพวกเราจริงหรือ?”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสสกุลเยว่พบว่ามันน่าเหลือเชื่อ มองไปที่อวี้ชิงลั่วด้วยแววตาชื่นชม แม้ในขณะนี้เขาก็ยังคงคลางแคลงใจในสิ่งที่อวี้ชิงลั่วพูดในตอนแรก และไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่หมดสติจะได้ยินเสียงของพวกเขา
ตอนนี้เขาไม่รู้จะชื่นชมนางอย่างไรดี
แม้แต่ว่านเผิงหลงที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยความละอายใจ เขาพูดในตอนแรกว่าสิ่งที่แม่นางถังพูดนั้นไร้สาระ กลับกลายเป็นว่าเขาต่างหากที่เป็นกบในกะลา
“แม่นางถัง ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้หรงเอ๋อร์สามารถฟื้นขึ้นได้ในวันนี้ หากแม่นางถังต้องการความช่วยเหลือใดจากข้า ก็ขอให้บอกข้าได้เลย”
อวี้ชิงลั่วหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ท่านประมุขโปรดอย่ากังวล จะต้องมีเรื่องที่เป็นประโยชน์แน่เจ้าค่ะ”
มีเพียงเหมิงเคอเท่านั้นที่มีใบหน้าซีดเซียว ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากความปีติยินดีของทุกคนเลย ดวงตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลาเย่เซ่อไปอย่างเงียบเชียบ
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คนมีพิรุธก็งี้แหละ เดี๋ยวก็กินปูนร้อนท้องให้คนอื่นเห็นเอง
ไหหม่า(海馬)