อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 717 อวี้ชิงลั่วหึง
ตอนที่ 717 อวี้ชิงลั่วหึง
ตอนที่ 717 อวี้ชิงลั่วหึง
หนานหนานเงยหน้ามองไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม พบว่าหน้าต่างของห้องที่ตนพักยังเปิดอยู่
ตอนนี้โรงเตี๊ยมปิดแล้ว เขาเองก็ไม่อยากขึ้นไปเคาะประตูให้คนเขาตื่น จึงหายใจเข้าลึกๆ ในทันที วาดฝ่าเท้า จากนั้นก็ไต่ผนังเข้าไปยังห้องพักของตน
ในที่สุดก็แตะโดนขอบเตียง จากนั้นก็ยกผ้าห่มขึ้นปีนขึ้นเตียง ซุกศีรษะแล้วหลับไป
เขารู้สึกคล้ายกับว่าจะปวดศีรษะเล็กน้อย หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ตากลมนานเกินไปจึงเป็นหวัดกันนะ? อากาศหลังฝนตกช่างน่าหงุดหงิดเสียจริงๆ
หนานหนานย่นจมูก หยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกมาขวดหนึ่งจากใต้หมอน หลังจากดูแวบหนึ่งแล้วก็เทเม็ดยาเล็กๆ เม็ดหนึ่งกลืนลงไป ก่อนนอนหลับอย่างอิ่มเอมใจ
และในตอนที่หนานหนานเข้าห้องของตนไปนั่นเอง ราวหนึ่งเค่อหลังจากนั้น ก็มีเงาหนึ่งกระโดดจากพื้นขึ้นไปบนชั้นสอง
เพียงแต่ว่าห้องที่เขาเข้าไป เป็นห้องที่อยู่ถัดจากหนานหนาน
ครั้นหน้าต่างเปิดออก ร่างนั้นก็เอนตัวไปด้านหลัง แน่นอนว่ามีผงแป้งปลิวมาทางด้านหน้า เขาหลบมันพลางกลั้นหายใจ กระโดดจากหน้าต่างมาที่พื้น เดินหลบเลี่ยงสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นในห้องไปจนสุดทาง ทิ้งร่างลงบนเตียง กอดนางเอาไว้แน่น
อวี้ชิงลั่วเกือบจะหายใจไม่ออก ยื่นมือผลักออกไป “เย่ซิวตู๋ เหตุใดท่านจึงมาอีกแล้วเล่า?”
“อะไร ข้ามาไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงของเย่ซิวตู๋แฝงแววข่มขู่ ราวกับว่าหากนางกล้าพยักหน้า เขาก็จะกดทับบนตัวนางไว้ไม่ให้ลุกขึ้นอีก
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุก เมื่อหันไปเห็นว่าอาวุธลับและผงพิษทั้งหมดที่นางติดตั้งไว้ในห้องถูกทำลายหมดแล้ว ก็ผลักเขาออกไปอีกด้านหนึ่งด้วยความโกรธ “สิ่งของที่ข้าติดตั้งไว้อย่างดี ท่านกลับมาทำลายเสียหมด หมายความว่าอย่างไร?”
“มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้ายังต้องการของพวกนั้นอีกหรือ?” เย่ซิวตู๋ทำเสียงเย็นชา ขยับมือถอดชุดคลุม เลื่อนกายเข้าไปในผ้าห่มของนาง คว้าตัวนางด้วยมือขวามาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็จูบนางอย่างดุเดือด
มุมปากของอวี้ชิงลั่วเผยอออกเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกได้ถึงลิ้นนุ่มลื่นของเขาเข้ามาในปาก กวาดไปทั่วปากของนางราวกับเสือร้าย ดูดดุนเสียจนนางแทบหยุดหายใจ
จนกระทั่งเขาพอใจแล้ว จึงปล่อยนางออก
อวี้ชิงลั่วหอบหายใจอย่างหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะหายใจได้เป็นปกติ จ้องมองเขาอย่างดุร้าย “ทุกครั้งที่ท่านมาก็เพียงเพราะทำเรื่องเช่นนี้น่ะหรือ?”
นางกล่าวด้วยใบหน้าขึ้นสีแดง รู้สึกได้ถึงมือใต้ผ้าห่มของเขาที่เริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้ว
เย่ซิวตู๋หลับตา เขาเพียงยื่นมือออกไปนวดผิวเนียนของนางอย่างแรง จากนั้นก็หยุดลง
เขากอดอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง ให้ศีรษะของนางแนบกับอกของตน น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “วันนี้ช่างมันเถิด หากเจ้าต้องการ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะชดเชยให้ทีเดียว”
“…” อวี้ชิงลั่วโกรธจัด ชดเชยด้วยการงับเข้าที่อกของเขาอย่างแรง
ใครต้องการ ใครต้องการกัน? เห็นๆ อยู่ว่าเขาเข้ามาห้องนางกลางดึกทุกๆ ครั้งก็เพื่อเติมเต็มอารมณ์ของตน ตอนนี้กลับเป็นปัญหาของนางหรือ?
อีกทั้งยังกล่าวอย่างจริงจังและตรงไปตรงมากับนางเช่นนี้ ช่างหน้าไม่อายนัก
เย่ซิวตู๋ส่งเสียงหึ เลิกคิ้ว “เจ้าต้องการถึงเพียงนี้เลยหรือ? ช่างเถอะ งั้นก็มาทำกันสักครั้ง”
“…” อวี้ชิงลั่วถึงกับอยากตาย รีบใช้สองมือสองเท้ายันเขาไว้ รักษาระยะห่างจากเขาครึ่งแขน จ้องมองเขาเขม็ง “ไม่เอา ข้าไม่ต้องการสักนิด ท่านหยุดเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่เมื่อครู่เจ้าพูดเป็นนัยกับข้านี่ หากข้าทำเจ้าพอใจไม่ได้ เจ้าก็จะอารมณ์เสีย…”
อวี้ชิงลั่วกัดฟันขัดจังหวะเขา “ข้าไม่ได้พูดเป็นนัยกับท่าน…” เหตุใดชายผู้นี้ถึงยิ่งไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ กันนะ?
เย่ซิวตู๋ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่นางกล่าว
อวี้ชิงลั่วสูดลมหายใจลึก รีบเปลี่ยนประเด็น “เสี่ยวอวี้ทางด้านท่านยังอยู่ดีหรือไม่”
“อืม” เย่ซิวตู๋ตอบนางเพียงคำเดียว ตอนนี้เขาไม่กล้าแกล้งนางอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นจะอดใจไหวได้อย่างไร
หลังจากได้กินเนื้อเป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่าทุกคืนก่อนนอนช่างทรมานนัก
เพียงแต่ตอนนี้ทุกวันเขายุ่งอยู่กับธุระ นางเองก็วุ่นจนหัวหมุน การมาหานางทุกวันจึงไม่มีประโยชน์
อวี้ชิงลั่วเห็นว่าเขาล่าถอยไปเล็กน้อยก็โล่งใจ “จริงๆ แล้วเสี่ยวอวี้ฉลาดมาก ถึงแม้จะเป็นคนระวังตัวมาก แต่หนานหนานสนิทกับนาง มีหนานหนานอยู่ข้างกายก็คงดีขึ้นหน่อย”
“…” เย่ซิวตู๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “หนานหนานไม่ได้ไปโรงเตี๊ยม”
“???” อวี้ชิงลั่วผงะไป
“เด็กคนนั้นกลัวแม่นมเซียว จึงพักอยู่ที่จวนผู้อาวุโสสกุลหมิงชั่วคราว” เย่ซิวตู๋มองนางแวบหนึ่ง เขารู้ว่าสตรีผู้นี้ไปก่อเรื่องที่จวนผู้อาวุโสสกุลหมิงมาเมื่อวาน
โชคดีที่นางคิดออก บอกให้ท่านอาจารย์ทำลายป่าไผ่ลงเสีย อีกทั้งผู้อาวุโสสกุลหมิงก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนรับความเสียหายอย่างพูดไม่ออก
เมื่อกล่าวถึงผู้อาวุโสสกุลหมิง อวี้ชิงลั่วก็อดไม่ได้ที่จะฮึดฮัด “ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสสกุลหมิงยินดีจะให้หลานสาวแต่งกับท่านนี่ โชคดีเหลือเกินนะ”
เมื่อวานนางออกมาจากจวนผู้อาวุโสสกุลหมิง ก็ได้ถามหมอเฒ่าฉยงซานอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นหนานหนานก็บอกนาง นางจึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมมา
เย่ซิวตู๋ตอบกลับอย่างเย็นชา “เหมิงจื่อฉีแต่งงานแล้ว ท่านอาจารย์ก็ล้อเล่นเพียงเท่านั้น”
“หากยังไม่แต่งเล่า?”
เย่ซิวตู๋มองนางแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เห็นนางแก้มพอง ดวงตาร้อนผ่าวก็หัวเราะเบาๆ “เหตุใดจึงรู้สึกได้ถึงความหึงหวงของเจ้ากันนะ?”
นี่เป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ จะปล่อยให้เขามัวอยู่เฉยๆ คอยมองไอ้พวกสารเลวอย่างหลีจื่อฟานซ่างกวนจิ่นพวกนั้นมาจ้องมองเป็นเสือจ้องเหยื่อก็คงไม่ได้
ชิงเอ๋อร์รู้สึกถึงอันตรายเสียบ้าง ถือว่าเป็นเรื่องดี
“…” อวี้ชิงลั่วแทบกระอักเลือด เขาใช้คำที่เคยพูดมายอกย้อนนาง ให้ตายเถอะ
“เลิกเปลี่ยนประเด็นได้แล้ว ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลย”
เย่ซิวตู๋เม้มปาก เขาจะบอกนางไม่ได้เด็ดขาดว่าท่านอาจารย์พยายามจะจับคู่เขากับเหมิงจื่อฉีมาตั้งแต่เด็กแล้ว และบอกนางไม่ได้ด้วยว่าความปรารถนาของเหมิงจื่อฉีตั้งแต่เด็กจนโตก็คือแต่งงานกับเขา และยังไม่ทันจะถึงวัยออกเรือน ท่านอาจารย์ก็เขียนจดหมายมาบอกใบ้ให้เขารีบไปสู่ขอนางอีก และยิ่งบอกนางไม่ได้เลยว่าสี่ปีก่อนที่เขาออกจากเมืองหลวง มีเหตุผลเล็กๆ ก็คือท่านอาจารย์ออกจากดินแดนเหมิงเพื่อมาหาเขาและคุยเรื่องนี้ด้วยตนเอง
แน่นอนว่าที่ไม่สามารถบอกนางได้เป็นอย่างยิ่งก็คือ เหตุผลที่เขาเคยกล่าวว่าแม้ต้องตายก็จะไม่เข้ามาเหยียบดินแดนเหมิงอีก ก็เป็นเพราะอยากเลี่ยงไม่ให้ท่านอาจารย์เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ จะยกเหมิงจื่อฉีให้เขาอีก
“ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลยเล่า?” อวี้ชิงลั่วหรี่ตา เห็นเขาไม่กล่าวอะไรอยู่นาน ก็อดไม่ได้ที่จะพยุงตัวขึ้นเล็กน้อย จ้องมองเขาด้วยแววตาที่ร้อนผ่าว
“ชู่ว มีคนมา” จู่ๆ เย่ซิวตู๋ก็กอดนางไว้ใต้ร่าง กล่าวเสียงเบา “น่าจะมีเจ็ดหรือแปดคนเข้าห้องข้างๆ ไป”
อวี้ชิงลั่วชะงัก แววตาเป็นประกาย “คนของเหมิงเคอหรือ?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ห้องข้างๆ ไม่มีใครแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะต้องกลับไปมือเปล่า”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องเพลาๆ โครงการทำน้องให้หนานหนานบ้างก็ได้นะ สงสารไตท่านด้วย
แน่ใจเหรอว่าห้องข้างๆ ไม่มีใคร?
ไหหม่า(海馬)