อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 757 ความทะเยอทะยานของเขายิ่งใหญ่นัก
ตอนที่ 757 ความทะเยอทะยานของเขายิ่งใหญ่นัก
ตอนที่ 757 ความทะเยอทะยานของเขายิ่งใหญ่นัก
ผู้อาวุโสสกุลหมิงมีสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง มีความทะเยอทะยานก็ยิ่งจัดการได้ง่าย
“จริงหรือ เจ้ามีความทะเยอทะยานมากจริงๆ ไม่ฟังท่านแม่ของเจ้าแล้วหรือ?”
กล่าวถึงตรงนี้ หนานหนานก็ยิ่งดูตื่นเต้น “ความฝันของข้ายิ่งใหญ่นัก กล่าวออกมาพวกท่านจะต้องตกใจมากเป็นแน่ กระทั่งท่านแม่ก็หยุดข้าไม่ได้”
อวี้ชิงลั่วหัวเราะออกมา โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าพึงพอใจของผู้อาวุโสสกุลหมิงก็ส่ายศีรษะอย่างอดสงสารไม่ได้
“ความฝันของข้านั้น ก็คือการไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น เอาแต่กินแต่นอนไปตลอดชีวิต” หนานหนานย้ำคำว่าตลอดชีวิต “เฮ้อ จริงๆ แล้วข้าก็คิดว่าหากข้าเป็นเทพเซียนบนสวรรค์จะดีเพียงใดกัน ขอเพียงขยับนิ้ว ก็มีอาหารอร่อยๆ พุ่งเข้าปาก อ๋า ไม่สิ เทพเซียนไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วเสียด้วยซ้ำ ข้าอยากจะกินอะไรมันก็มาโผล่ในปากข้าแล้ว จริงหรือไม่?”
“…”
“!!!!”
นี่คือความฝันและความทะเยอทะยานของเขาหรือ?????
ผู้อาวุโสสกุลหมิงมุมปากกระตุก การพูดจาก็ยากลำบาก “หนานหนาน เจ้าไม่เคยคิด… จะเป็นคนเหนือคนหรือเป็นประมุขเลยหรือ?”
“เป็นประมุขเหนื่อยจะตายไป ข้าไม่ได้โง่นะ จะได้เอาตัวเองไปลำบากเช่นนั้น” หนานหนานกลอกตา มองไปยังผู้อาวุโสสกุลหมิงราวกับว่ามองคนโง่
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็รู้สึกรับไม่ได้แล้ว เป็นประมุขนั้นเหนื่อยก็จริง แต่ในโลกใบนี้มีคนตั้งเท่าไรที่ยอมดิ้นรนเพื่อตำแหน่งนั้น ทว่าเขากลับเห็นเป็นการกระทำที่โง่เง่าเสียได้
อวี้ชิงลั่วปิดปากหัวเราะ “พวกท่านอย่าพยายามให้เสียเปล่าเลยเจ้าค่ะ นี่คือสิ่งที่เขาแสวงหามาตลอดชีวิต”
“ข้าคิดว่าหนานหนานยังเล็ก รอให้โตเสียก่อน วิธีการคิดของเขาย่อมต้องเปลี่ยนไป” ผู้อาวุโสสกุลเซี่ยงเอ่ยปาก ดังนั้นตอนนี้ก็ควรให้เด็กอยู่ที่ดินแดนเหมิง ถึงตอนนั้นก็ค่อยสอนความรู้จักรับผิดชอบของชาวเหมิงให้เขา รอให้เขาโตเสียก่อน ย่อมเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้
เย่ซิวตู๋หรี่ตา พอจะเดาความคิดของพวกเขาได้ ก็เช่นเดียวกับตอนที่เขายังเด็กนั้น เพียงแต่ตอนนั้นความต้องการของเขามั่นคง ไม่ยอมมัวอยู่ที่ดินแดนเหมิง แต่เลือกที่จะกลับไปยังอาณาจักรเฟิงชาง
เขาเองก็ไม่อยากให้หนานหนานถูกทรมานที่นี่ จึงก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ ขัดการสนทนาของทุกคนแล้วกล่าว “ครึ่งหลังของเทศกาลชิมสุราใกล้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเราออกไปกันเถิดขอรับ ไม่อย่างนั้นให้ทุกคนรออยู่ด้านนอกจะไม่ดีนัก มีเรื่องอันใดก็รอให้เทศกาลจบก่อนค่อยว่ากัน”
เหมิงลู่คิดแล้วก็เห็นด้วย ตอนนี้ได้เวลาแล้ว แขกเหรื่อด้านนอกต่างก็มาจากหลายอาณาจักร จะให้พวกเขารอนานไม่ได้
“ซิวเอ๋อร์พูดถูก พวกเราออกไปก่อนดีว่า นี่ล้วนเป็นเรื่องภายในดินแดนเหมิง เรื่องเกี่ยวกับผู้อาวุโสสกุลลี่นั้นให้เก็บเป็นความลับชั่วคราว รอให้เทศกาลชิมสุราจบก่อนค่อยว่ากัน”
ทุกคนไม่คัดค้าน เพียงแต่มองหนานหนานด้วยแววตาราวกับหมาป่า เต็มไปด้วยความก้าวร้าว
หนานหนานหดคอ หลบไปอยู่ด้านหลังของอวี้ชิงลั่ว
คนทั้งกลุ่มทยอยออกไปจากห้องทีละคน ไม่ไกลนักยังมีไป๋อีเฟิงที่เฝ้าระวังอยู่ หลังจากเห็นทุกคนก็วิ่งเข้ามาทันที
อวี้ชิงลั่วชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง รอให้เหล่าผู้อาวุโสเดินไปข้างหน้าแล้ว นางจึงถามเขาเบาๆ “หงเย่เล่า?”
“แหะๆ…” ไป๋อีเฟิงหัวเราะแห้งๆ แววตาของเขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า
อวี้ชิงลั่วเตะเขาอย่างแรง “หงเย่อยู่ไหน?”
“อยู่ในบ้านทางด้านนั้นขอรับ” ไป๋อีเฟิงชี้ไปยังบ้านแยกทางด้านขวามือ หลังจากกล่าวจบก็กระโดดหนีไปในทันที
อวี้ชิงลั่วมุ่นคิ้ว มุมปากกระตุกอย่างแรง
ผู้อาวุโสสกุลหมิงที่เดินอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นนางและหนานหนานหยุดเดิน ก็รีบวิ่งตรงเข้ามา “เหตุใดจึงหยุดเล่า รอบแรกของช่วงบ่ายนี้ เป็นหนานหนานที่ต้องลงแข่งขันนะ”
ตอนนี้เขากลัวว่าอวี้ชิงลั่วจะพาหนานหนานไปไกลจากเขา ไม่รู้ว่าจะหายตัวไปเมื่อใด
ดังนั้นจึงต้องระวังไว้จะดีกว่า
อวี้ชิงลั่วมองไปยังผู้อาวุโสสกุลหมิงโดยไม่กล่าวอะไร จับมือของหนานหนานส่งไปให้เย่ซิวตู๋ “เจ้าพาเขาไปเถิด ข้าจะไปหาหงเย่”
เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็มองผู้อาวุโสสกุลหมิงอีกครั้ง จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปข้างหูเขาแล้วกระซิบ “ระวังท่านอาจารย์ของท่านให้ดี ระวังเขาจะแย่งตัวหนานหนานแล้วหนีไป”
เย่ซิวตู๋ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “เข้าใจแล้ว เจ้าก็ระวังด้วยล่ะ”
ผู้อาวุโสสกุลหมิงยืดคอ ฟังอยู่นานก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน
แต่เห็นว่าตอนที่อวี้ชิงลั่วจากไป หนานหนานไม่ได้ไปด้วย อีกทั้งยังเดินไปทางงานเลี้ยงกับเย่ซิวตู๋ เขาจึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย
อวี้ชิงลั่วไม่อยู่ ผู้อาวุโสสกุลหมิงก็คลายกังวลมาหน่อย ทันใดนั้นก็เข้าไปใกล้ตัวหนานหนานแล้วกล่าว “หนานหนาน เมื่อครู่เจ้าต่อสู้กับผู้อาวุโสสกุลลี่ไม่เหนื่อยหรือ? ให้ตาทวดอุ้มเจ้าไปเถิด เจ้า…”
เขายังไม่ทันกล่าวอันใดจบ อยู่ดีๆ หนานหนานที่ตัวเตี้ยกว่าเขาก็สูงขึ้น ในพริบตาก็สูงเกินศีรษะของเขาไปแล้ว
ผู้อาวุโสสกุลหมิงผงะ เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเย่ซิวตู๋อุ้มเด็กขึ้นมาแล้ว
เขาโกรธจนหน้าแดงในทันที “ซิวเอ๋อร์ เจ้า… รู้จักเคารพผู้อาวุโสบ้างหรือไม่”
“ก็เพราะรู้จักน่ะสิ ดังนั้นจึงไม่รบกวนท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อายุมากแล้ว เรื่องการอุ้มเด็กนี้ ย่อมต้องให้ข้าเป็นคนทำจึงจะดีกว่า” เย่ซิวตู๋กระชับอ้อมแขนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สาวเท้าก้าวใหญ่ตรงไปข้างหน้า
หนานหนานซบลงบนไหล่ของบิดาตน หรี่ตาพลางยิ้ม
ผู้อาวุโสสกุลหมิงพ่นลมหายใจอย่างแรงสองครั้ง อยากจะรีบตรงไปจัดการเย่ซิวตู๋เสียหน่อย
ตอนนี้เขาคิดว่าหากเป็นอวี้ชิงลั่วอยู่ที่นี่คงจะดีกว่า อย่างน้อยนางก็คงไม่ทำเขาโกรธได้มากเท่าซิวเอ๋อร์
โชคดีที่อวี้ชิงลั่วไม่อยู่ตรงนี้ หากรู้ว่าผู้อาวุโสสกุลหมิงมีความคิดเช่นนี้ ดูท่าคงจะเข้าใจว่าตนเองนิสัยดีเกินไปแล้ว
นางเดินไปตามทิศทางที่ไป๋อีเฟิงชี้ ด้านหน้าเป็นอาคารสองชั้น ดูแล้วห่างไกล รอบๆ ไม่มีใครเลย
อวี้ชิงลั่วเดินขึ้นบันไดไป ยืดคอเข้าไปมองดูเสียหน่อย นางรู้สึกว่าบ้านนี้ค่อนข้างมืดมน
“หงเย่ หงเย่”
อวี้ชิงลั่วเดินเข้าไปข้างในพลางเอ่ยเรียกเสียงเบาสองสามครั้ง
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ชั้นหนึ่ง อวี้ชิงลั่วเงียบลง จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นสอง
ทัศนียภาพของชั้นสองนั้นกว้างขึ้นเล็กน้อย ลมเย็นพัดโชยมาทำให้สดชื่นขึ้นหน่อย
อวี้ชิงลั่วเรียกอีกครั้ง “หงเย่ เจ้าอยู่หรือไม่?”
นางกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่พบเห็นใครเลย
นางขมวดคิ้ว อวี้ชิงลั่วเสียดายที่ไม่ได้ลากไป๋อีเฟิงมาด้วย จะได้ให้เขามาช่วยหาคน
‘ปังๆ’
อวี้ชิงลั่วกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ ก็มีเสียงกระแทกสองสามครั้งดังมาในหู เสียงทุ้มและเบามาก
นางหันหูไปด้านข้างเพื่อติดตามที่มาของเสียง หลังเดินไปสองสามก้าว สุดท้ายก็หยุดที่หน้ากล่องสี่เหลี่ยม
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุก ไป๋อีเฟิงคงไม่ได้ขังหงเย่ไว้ที่นี่ใช่หรือไม่
นางนั่งยองๆ ลง เปิดกล่องนั้นออก
เมื่อยกฝาขึ้น ก็พบว่าหงเย่ถูกมัดมือและเท้า ขดตัวอยู่ในกล่องจริงๆ
อวี้ชิงลั่วด่าทอไป๋อีเฟิงในใจ จากนั้นก็พยุงหงเย่ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ต่อจากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว “หงเย่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าก็ซีดผิดปกติ รูม่านตาหดลงเล็กน้อย ราวกับว่าตกตะลึงกับบางสิ่ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับความเครียด หนานหนานรักอิสระ ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยนะท่านตาทวด
ไหหม่า(海馬)