อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 8 สตรีผู้นั้นวางเพลิงแล้ว
ตอนที่ 8 สตรีผู้นั้นวางเพลิงแล้ว
สายตาของเขามองไปตามเสียงที่ดังออกมาในทันที พริบตาต่อมา พลังปราณที่อยู่ทั่วทั้งร่างกายก็ถูกเก็บกลับมาจนหมด สีหน้าที่ค่อนข้าง…ซับซ้อนมองไปยังเด็กที่กำลังโซซัดโซเซคนนั้น
คงเป็นเพราะได้ยินเสียง หนานหนานจึงลืมตาที่พร่ามัวและเรอเพราะฤทธิ์สุราออกมาแรง ๆ อีกครั้ง เขายิ้มตาหยีพูดว่า “ท่านเป็นใครเนี่ย?”
“เจ้าดื่มจนเมาแล้ว” บุรุษโบกมือ เจ้าเสือดำที่อยู่ด้านหลังวิ่งออกจากประตูหิน มันยืนเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ ด้านหลังหินใหญ่
“เมา? ข้าดื่มเป็นพันจอกก็ไม่เมามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล” หนานหนานกอดเหยือกสุราที่อยู่ตรงหน้าราวกับกอดตุ๊กตา ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำ ราวกับเปื้อนด้วยเยียนจือ [1] เป็นสีอมชมพู “ข้าว่าแล้วเชียวว่าในเรือนของท่านลุงชุดขาวต้องมีสุราดี ๆ ให้ข้าดื่ม ข้าใส่ยาไม่ผิดคนเลย จมูกสุนัขของข้าไวต่อกลิ่นมาก ฮ่า ๆ เอิ๊ก”
คิ้วของบุรุษผู้นั้นถึงกับกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ สายตาของเขาเหลือบมองไปรอบ ๆ ห้องเก็บสุรา สีหน้าตึงเครียดในที่สุดก็ปรากฏร่องรอยแตกร้าวจาง ๆ เขาย่อตัวลงเล็กน้อย จับคอเสื้อด้านหลังของหนานหนานแล้วยกขึ้น “ข้าจะพาเจ้าออกไป”
เด็กคนหนึ่งที่ดูอายุแค่สี่ห้าขวบ คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ห้องเก็บสุราขนาดใหญ่ของเขาเป็นเช่นนี้ นี่ก็นับว่ามีความสามารถแล้ว
หนานหนานหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเขาหรี่ลง ยื่นมือไปบีบแก้มของบุรุษพลางหัวเราะหึ ๆ “ท่านหน้าตาดีจริง ๆ หล่อได้ครึ่งหนึ่งของข้าเลย ไม่เลว ไม่เลว”
“…” หนังตาของบุรุษกระตุกวูบ เขาสะบัดมือของหนานหนานออกไปและกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “หากยังจับสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ระวังข้าจะสับนิ้วของเจ้าออกไป”
“สับ สับออก?” หนานหนานเอียงศีรษะ ท่าทางราวกับยังไม่ได้สติ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของการตัดออกไป ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาพูดอย่างมีน้ำโหว่า “ทำไมต้องสับนิ้วมือ ทำไมไม่สับนิ้วเท้าล่ะ? รู้หรือไม่ว่านี่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อนิ้วเท้าของข้านะ? ท่านอย่าคิดว่านิ้วเท้าของข้าซ่อนอยู่ในรองเท้าแล้วจะละเลยมันได้ นิ้วเท้าของข้าก็มีเลือด มีเนื้อ มีลักษณะเฉพาะตัวและมีศักดิ์ศรี ท่าน…ท่าน…ข้านอนล่ะ”
เขาพูดจบก็เอียงศีรษะ ดวงตาปิดลงและหมดสติไปจริง ๆ
บุรุษผู้นี้รู้สึก…พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
เขายกมือขึ้นมานวดคลึงบริเวณหว่างคิ้ว อุ้มหนานหนานไว้ในอ้อมกอด ทว่าเป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าหนานหนานจะอายุยังน้อย แต่เมื่ออุ้มไว้ในอ้อมแขนก็ยังหนักอยู่ดี เป็นเพราะดึงดันเช่นนี้ บาดแผลที่อยู่บนร่างกายของเขาจึงปริออก
บุรุษขมวดคิ้วมุ่น เขามองดูเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลบริเวณกลางอกและค่อย ๆ เปื้อนลงบนเสื้อคลุมสีม่วงเข้มบนร่างกาย ใบหน้าพลันอึมครึมลง ก่อนหมุนกายเดินออกจากประตูหินโดยไม่รอช้า
โม่เสียนและเสิ่นอิงที่อยู่ด้านนอกกำลังรีบเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเด็กที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ในอ้อมกอด ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
แต่พริบตาต่อมาก็ได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยคลุ้งอยู่กลางอากาศ และพริบตาถัดมาสีหน้าของพวกเขาทั้งคู่ก็เปลี่ยนสีอย่างหนัก รีบก้าวเท้ามาข้างหน้า “นายท่าน”
เสิ่นอิงขมวดคิ้ว เขายื่นมือออกไปรับหนานหนานมาอุ้มแทน “นายท่าน ให้ข้าจัดการเด็กคนนี้แทนเถิด อาซ่าน ไปเรียกอูตงมา”
“ขอรับ” บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก้มหน้าลงเล็กน้อย และรีบหมุนกายเดินออกไป
โม่เสียนขมวดคิ้วมองเด็กที่ถูกเสิ่นอิงอุ้มมาไว้ในอ้อมกอดตนเอง ก่อนชะโงกหน้าเข้าไปดูด้านในประตูหิน ครั้นชะโงกหน้ามอง เลือดที่อยู่กลางอกก็แทบจะกระอักออกมา ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาวิ่งเข้าไปด้านในห้องประตูหินสองสามก้าว ก่อนจะแผดเสียงที่น่าสะพรึงกลัวออกมา “สุราที่ข้าเพิ่งบ่มใหม่ ไม่…ไม่…ไม่เหลือแล้ว”
บุรุษที่อยู่ด้านนอกประตูสีหน้าเรียบเฉย ทว่าสีหน้าของเสิ่นอิงกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาก้มหน้ามองหนานหนานที่นอนหลับใหลเพราะดื่มสุรา ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าจำได้ว่าสุราที่โม่เสียนบ่มออกมา ถูกเรียงไว้เป็นแถวบนชั้นวางถึงจะถูก” หรือว่าถูกเด็กคนนี้ดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ว?
เด็กคนหนึ่ง ดื่มได้มากขนาดนี้เชียวรึ? จะมีปัญหาอะไรหรือไม่นะ?
โม่เสียนกำลังเคียดแค้นเกลียดชังอย่างยิ่งยวดอยู่ด้านใน ทว่าเสิ่นอิงกลับเดาะลิ้น เขามองนายท่านที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ก็กระซิบถาม “นายท่าน ทั้งหมดนี้เด็กคนนี้เป็นคน…”
“เขาใส่ยาพิษให้โม่เสียน คิดว่าคงได้กลิ่นสุราบนตัวของเขา สุราคือเป้าหมายสูงสุดของเด็กคนนี้” นัยน์ตาที่แสนเย็นชาของบุรุษมองไปที่หนานหนาน เมื่อนึกถึงท่าทางของผีสุราน้อยของหนานหนาน จู่ ๆ นัยน์ตาก็อ่อนโยนลง และรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้มีความน่าสนใจมาก
เสิ่นอิงหัวเราะหนึ่งเสียง ได้แต่แอบส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเงยหน้าขึ้นก็ได้ยินเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าของโม่เสียนอีกหน จึงรีบอุ้มหนานหนานถอยหลังออกไปสองก้าว “นายท่าน ข้าพาเด็กคนนี้ไปพักผ่อนก่อนนะขอรับ ป้องกันมิให้เขาถูกโม่เสียนหั่นเป็นศพ”
“อืม” บุรุษพยักหน้า จากนั้นจึงเรียกเสือดำมา เขาหันกลับไปมองหนานหนานที่นอนหลับลึกอีกครั้ง และเดินกลับไป
เดิมทีด้านนอกประตูหินยังเกิดความครึกครื้นอยู่ แต่ในเวลานี้ได้ยินแค่เสียงขบฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นระทมใจของโม่เสียน ส่วนผู้กระทำความผิดกลับนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงสูงหมอนอุ่นแบบไม่รู้วันรู้เดือนนานแล้ว
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกก็สว่างอย่างสมบูรณ์แล้ว แสงแดดอุ่น ๆ สาดส่องเข้ามาที่หน้าต่าง หนานหนานยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสบาย ๆ ดวงตาลืมขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
จนกระทั่งเกิดความรู้สึกคันยุบยิบบนใบหน้า เขาจึงย่นจมูกเล็ก ๆ และยื่นมือขึ้นมาเกาด้วยความหงุดหงิด
ทันใดนั้น เขาก็เห็นแมงป่องที่คุ้นเคยกำลังนอนอยู่บนฝ่ามือเล็ก ๆ ของตนเอง
ท่าทางขี้เกียจของหนานหนานหายไปในทันที เขาดีดตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ เอ่ยถามแมงป่องว่า “เสี่ยว…เสี่ยวไป๋เหอ? ท่านแม่มารับข้าหรือ? จบเห่แล้ว ๆ ข้าหายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ท่านแม่ต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ รู้สึกทุกข์ทรมานจนเลือดออกจากเจ็ดทวาร กลับไปต้องถลกหนังข้าแน่ ข้าต้องพกไม้เรียวกลับไปให้ท่านแม่ลงโทษถึงจะถูก”
เขาพูดไปพลางก็เริ่มพลิกตัวลงจากเตียง เท้าเล็ก ๆ เพิ่งจะใส่เข้าไปในรองเท้าก็หยุดชะงัก เขาสะบัดหน้าและพึมพำกับตัวเอง “ไม่ได้หรอก ข้าเองก็ดื่มจนเมา ข้าควรถอนพิษให้ท่านลุงชุดขาวคนนั้นสิ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนนี่นา เฮ้อ…” เขาถอนหายใจอีกหน ก่อนจะก้มหน้าพูดกับแมงป่องที่อยู่ในมือ “เสี่ยวไป๋เหอ เจ้ากลับไปรายงานกับท่านแม่ว่าข้าปลอดภัยดีก็พอแล้ว เฮ้อ หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ข้าใจดีเกินไป ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษรูปงามที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ มิใช่ความงามที่โหดเหี้ยมดุร้ายเหมือนกับท่านแม่”
แมงป่องขยับหาง ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาเล็กน้อยต่อคำพูดของเขา
หนานหนานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าเองก็คิดว่าสิ่งที่ข้าพูดถูกต้องใช่หรือไม่? เจ้าคือสหายรู้ใจของข้าจริง ๆ เอาล่ะ งั้นก็ทำตามนี้นะ”
พูดจบ เขาก็ลงจากเตียงและหยิบกระเป๋าใบนั้นของตัวเองออกมา หยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็ก ๆ ออกมาหนึ่งใบ เทผงสีเขียวลงบนหลังของแมงป่อง “ไปเถอะ ต้องส่งความคิดที่อยู่ในใจของบุรุษน้อยรูปงามอย่างข้าที่ถูกโกรธเคืองเพราะความใจดีไปถึงท่านแม่ของข้าด้วยนะ”
แมงป่องสะบัดหางอีกหน หนานหนานจึงปล่อยมือ แมงป่องหมุนตัวและคลานออกไปอย่างรวดเร็ว ระดับความเร็วรวดเร็วเสียจนหนานหนานที่อยู่ด้านหลังคิดว่ามันเข้าใจความเร่งด่วนของตนเองจริง ๆ
เสี่ยวไป๋เหอไต่อย่างรวดเร็วไปตลอดทางด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นาน มันก็กลับมาอยู่ข้างตัวอวี้ชิงลั่วที่นอนหลับตาทำสมาธิอยู่บนหิน
เมื่อได้เห็นสีบนตัวของแมงป่อง อวี้ชิงลั่วก็ได้รับความสบายใจกลับคืนมา ในเมื่อหนานหนานไม่เป็นอะไร นางก็ไม่ต้องกังวลใจ และนางก็สามารถออกไปจากสถานที่เส็งเคร็งนี้ได้แล้ว
ค่ายกลงั้นหรือ นางไม่เข้าใจหรอก
แต่การบังคับให้คนออกมา นางกลับมีประสบการณ์มากล้น
นางเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะ ตอนนี้ใกล้จะเป็นช่วงเที่ยงแล้ว แสงอาทิตย์จึงร้อนจนแสบผิวไปหมด นางมองไปยังตำแหน่งที่ดอกไม้และใบไม้ถูกพัดจนร่วงหล่น แววสว่างไสวในดวงตาของนาง สว่างมากขึ้นแล้ว
ด้านหน้าของนางคือทะเลสาบขนาดเล็ก เมื่อได้มองดูแล้วก็รู้สึกได้ถึงความประณีตงดงาม แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมีน้ำ
อวี้ชิงลั่วกระโดดลงไปในแม่น้ำโดยตรง ในมือของนางถือคันฉ่องส่องหน้า นางหันคันฉ่องเข้าหาแสงอาทิตย์ที่ร้อนผ่าว ใช้การหักเหของแสงเล็กน้อย เวลาเพียงครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียง ‘ฉ่า’ ดังขึ้น ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนางเห็นได้ชัดว่ามีต้นไม้แห้งส่วนถึงถูกเผาไหม้ในทันที…
เพียงไม่นานก็มีคนวิ่งเข้าไปด้านในห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวางมืดทึบ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “นายท่าน สตรีที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบาผู้นั้น วางเพลิงแล้วขอรับ”
…………………………
[1] เยียนจือ (胭脂) ลักษณะเป็นผงอัดแข็งหรือครีม ทำขึ้นจากเม็ดสีของดอกคำฝอย ใช้ทาริมฝีปากและแก้ม คล้ายกับลิปและบลัชออนในยุคปัจจุบัน
สารจากผู้แปล
จวนโม่แตกแน่ พลังทำลายล้างโหดทั้งแม่ทั้งลูกเลย
ไหหม่า (海馬)