อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 820 ความจริงอันยิ่งใหญ่ของหนานหนาน
ตอนที่ 820 ความจริงอันยิ่งใหญ่ของหนานหนาน
ตอนที่ 820 ความจริงอันยิ่งใหญ่ของหนานหนาน
ไป๋อีเฟิงหรือ? เหมิงลู่และหมอเฒ่าฉยงซานสบตากัน อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“เชิญเขาไปดื่มชาที่ห้องโถงด้านข้าง เดี๋ยวข้าจะรีบไป”
เหมิงลู่ไปเช็ดหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังออกจากประตูห้อง
เมื่อเข้ามายังห้องโถงด้านข้าง ก็เห็นไป๋อีเฟิงหันหลังให้เขา ก้มหน้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
คล้ายกับว่าได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ไป๋อีเฟิงก็หันหน้ากลับมา เมื่อสบสายตาที่นิ่งสงบของเหมิงลู่ เขาก็เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว กล่าวอย่างร้อนรน “เย่ซิวตู๋ไปไหนหรือขอรับ?”
“เจ้ามาหาซิวเอ๋อร์หรือ?”
ไป๋อีเฟิงพยักหน้า “ข้าไปที่จวนใหญ่ แต่ผู้อารักขาที่เฝ้าอยู่บอกว่าเขาไม่อยู่ที่นั่น ทำให้ข้าคิดว่าน่าจะมาที่จวนผู้อาวุโสสกุลหมิง จึงรีบมาที่นี่ ทางด้านข้ามีเรื่องด่วนต้องคุยกับเขา เขาไม่อยู่ที่นี่หรือขอรับ?”
เหมิงลู่เห็นสีหน้าวิตกของเขา ดูท่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องด่วน จึงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “เขาพาหนานหนานไป…”
“ข้าอยู่นี่” เหมิงลู่ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยของเย่ซิวตู๋ดังขึ้น
ทั้งสองคนในห้องหันหน้าไปพร้อมกัน ก็เห็นเขาอุ้มหนานหนานสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา
เขามองไป๋อีเฟิงแวบหนึ่ง “มีธุระอะไร? เป็นเรื่องชิงเอ๋อร์หรือไม่?”
“ไม่เกี่ยวกับอวี้ชิงลั่วหรอก เฮ้อ…แต่ก็เกี่ยวกับนางอยู่เล็กน้อย เฮ้อ…ข้าไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี เจ้ามากับข้าเถิด มีคนหนึ่งอยากให้เจ้าพบเสียหน่อย” ไป๋อีเฟิงสับสนเล็กน้อย จะกล่าวก็กล่าวได้ไม่ชัดเจนนัก หยุดชะงักไป แล้วมือสองข้างก็จับมือเย่ซิวตู๋และเหมิงลู่ พาทั้งสองคนเดินออกไปด้านนอก
ทั้งสองคนกระตุกมุมปากพร้อมกัน มองไปยังมือสองข้างที่จับมือของพวกเขาอยู่ จากนั้นก็กระแอมเบาๆ แล้วออกแรงดึงมือกลับ
เหมิงลู่เม้มปาก เบนสายตาไปทางอื่นแล้วกล่าว “นำไปเสีย” มัวแต่ดึงมือกันไปมาเช่นนี้ จะไม่น่าดูเกินไป
“ขอรับ” ไป๋อีเฟิงชะงักไป จากนั้นก็ตอบสนองเหมือนว่าตน…ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาลูบจมูก จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องโถง
สองสามคนเดินออกจากจวนผู้อาวุโสสกุลหมิงไปด้วยกัน ขึ้นรถม้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่ไป๋อีเฟิงพักอยู่
เย่ซิวตู๋วางหนานหนานลงบนเบาะนุ่ม มองดูเส้นทางที่รถม้ามุ่งหน้าไปก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดกันแน่ จึงได้รีบร้อนเช่นนี้”
“เจ้าเห็นก็จะรู้เอง ตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”
เย่ซิวตู๋มองเขาแวบหนึ่งอย่างดูถูกเล็กน้อย แค่จะกล่าวยังกล่าวอย่างชัดเจนไม่ได้ คนเช่นนี้จะเป็นคุณชายรองของตระกูลไป๋ได้อย่างไร
เหมิงลู่หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้กล่าวอันใด ในใจเขาก็ยังจนปัญญากับท่าทางบุ่มบ่ามของไป๋อีเฟิง
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น รถม้าจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยมที่ไป๋อีเฟิงพักอยู่ และไป๋อีเฟิงก็กระโดดลงจากรถม้าคนแรก
เหมิงลู่มองออกไปด้านนอก นี่คงเป็นประตูหลังของโรงเตี๊ยม เพราะมีคนน้อยมาก ดูท่าไป๋อีเฟิงคงจะคำนึงถึงสถานะของพวกเขา จึงอำนวยทางสะดวกให้เช่นนี้
เขาลงจากรถม้า ยังคงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
เย่ซิวตู๋อุ้มหนานหนานขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เจ้าเด็กคนนี้ดูงัวเงียเล็กน้อย ตั้งแต่รถม้าหยุดเขาก็รู้สึกเหมือนความสั่นไหวที่สบายตัวนั้นหายไป จนหลับไม่สบายเสียแล้ว
เขาลืมตาขึ้นมองไปยังบิดาของตน จากนั้นก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ เรากลับถึงจวนใหญ่แล้วหรือ?”
แต่รถม้าคันนี้ช่างไม่คุ้นตาเลย มันไม่ใช่คันที่เขานั่งเมื่อตอนขามา
“เปล่าหรอก เรายังมีธุระอีกหน่อย เจ้านอนต่อเถิด เดี๋ยวพ่ออุ้มเจ้าเอง” เย่ซิวตู๋ตอบ
หนานหนานโคลงศีรษะ ซบลงบนไหล่ของเขาต่อไป
จากนั้นกลุ่มคนก็เดินเข้าประตูหลังของโรงเตี๊ยมขึ้นไปยังชั้นสอง
พ่อบ้านของไป๋อีเฟิงกำลังรออยู่ เมื่อเห็นเขามาก็คำนับ หันไปมองอีกสองคน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย “ท่านประมุข นายน้อยเย่ คนผู้นั้นอยู่ข้างในขอรับ”
เหมิงลู่และเย่ซิวตู๋สบตากันอีกครั้ง จากนั้นก็ผลักประตูห้องให้เปิดออก
เงียบ เงียบมาก แทบจะไม่มีเสียงใดเลย นับประสาอะไรกับ…คน
“ไป๋อีเฟิง ไม่มีใครอยู่นี่” เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว กวาดตามองรอบๆ ก็ไม่เห็นคนที่ต้องการพบเขาอย่างที่ไป๋อีเฟิงบอกเลย
ไป๋อีเฟิงประหลาดใจ มองดูรอบๆ ห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของคนเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเขาก็กระทืบเท้า รีบหันไปถามพ่อบ้านที่อยู่ตรงประตูห้อง “เขาออกไปแล้วหรือ?”
พ่อบ้านส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ไม่นะขอรับ ข้าน้อยเฝ้าอยู่ตรงประตูตลอดเวลา ไม่ได้จากไปไหนเลยแม้แต่น้อย คนข้างในนั้นไม่สามารถออกไปได้เป็นแน่ขอรับ”
นั่นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เหตุใดคนคนหนึ่งจึงหายตัวไปได้เล่า
ไป๋อีเฟิงรีบวิ่งไปดูทางด้านขอบหน้าต่าง ด้านล่างเป็นถนนที่คนเดินผ่านไปมา หากกระโดดลงไปจากทางนี้จะต้องมีคนเห็น เป็นไปไม่ได้เป็นแน่ อีกทั้งตรงขอบหน้าต่างก็ไม่มีรอยเท้าอันใด ทั้งยังไม่มีร่องรอยว่าคนออกไปแล้ว
ดังนั้น คนจะต้องยังอยู่ในห้องนี้
“นี่ เจ้าอยู่ที่ใดกัน เจ้า… อุบ…” ไป๋อีเฟิงตะโกนได้คำเดียว ก็เห็นเย่ซิวตู๋ถอดเข็มขัดที่เอวแล้วเอามารัดที่ปากของเขา
เขากะพริบตาร้องอู้อี้ ทันใดนั้นก็ดึงเข็มขัดออก ถ่มน้ำลายออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็นำเข็มขัดมาสวมไว้อีกครั้งอย่างงุนงงพลางจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะทำอันใด?”
“หนานหนานยังหลับอยู่ เจ้าส่งเสียงดังเพียงนี้ เขาจะตื่นเอาได้” เย่ซิวตู๋ไม่พอใจยิ่งกว่า บุตรชายสุดที่รักของเขาไม่ได้นอนมาหนึ่งคืน กว่าจะได้หลับอย่างสงบสุขช่างยากเย็นนัก ไอ้เจ้าคนบ้านี่กลับส่งเสียงดังเอาเสียได้
ไป๋อีเฟิงสำลักไป จากนั้นจึงสังเกตเห็นเด็กน้อยที่กำลังง่วงงุน จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วรีบปิดปาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะส่งเสียงเบาๆ แล้วกัน”
จะแตะต้องอวี้ชิงลั่วที่แสนพิเศษก็ไม่ได้ แตะต้องหนานหนานก็ไม่ได้ เหตุใดเย่ซิวตู๋เองก็ไร้ความเป็นมนุษย์ไปอีกเล่า ครอบครัวพวกเขาช่างเหมือนกันเสียจริง ล้วนใช้ไม่ได้กันทั้งหมด
ไป๋อีเฟิงกระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ ให้เย่ซิวตู๋อีกครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว หนานหนานลืมตาขึ้นอย่างขุ่นเคือง จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
“หนานหนาน… คือว่า ข้าไม่ทันได้สังเกต ข้ากำลังตามหาคนอยู่ ก็เลยใจร้อนไปหน่อย” ไป๋อีเฟิงถอยเท้าไปสองก้าวทันที เด็กคนนี้มีนิสัยหงุดหงิดเมื่อถูกปลุก เขาได้รับบทเรียนตั้งแต่ตอนอยู่ที่อาณาจักรเทียนอวี่แล้ว ดังนั้นตอนนี้การปลอบโยนสำคัญที่สุด “หนานหนาน เจ้านอนต่อเถิด ข้าจะส่งเสียงเบาลงหน่อย”
หนานหนานบิดตัวแล้วลงจากตัวของเย่ซิวตู๋ ยื่นมือไปหาไป๋อีเฟิง “ข้าต้องการค่าเสียหายทางใจ”
ไป๋อีเฟิงตบหน้าผากอย่างยอมแพ้ วางตั๋วเงินห้าสิบตำลึงลงในมือของเขา จากนั้นก็จ้องมองเขาเขม็งๆ “เจ้าเองก็กล้าไถเงินอย่างไม่รู้กฎเกณฑ์ต่อหน้าข้า หากเก่งนักก็ไปจัดการพี่ใหญ่ของข้าเถิด”
หนานหนานหัวเราะฮิๆ อารมณ์โกรธเมื่อตื่นนอนหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสัมผัสได้ถึงความร่ำรวย เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋อีเฟิง ก็รีบกอดขาของเขาราวกับลูกสุนัขทันที ยิ้มคิกคักแล้วกล่าว “ท่านลุงไป๋เป็นท่านลุงที่ดีที่สุดในโลกเลย ท่านโปรดวางใจ ในเมื่อท่านดีกับข้า ข้าจะจำเอาไว้ ท่านแม่ข้าบอกว่า ท่านลุงรองไป๋คนนี้มีเงิน ท่านลุงใหญ่ไป๋ยากจน เราจะรังแกคนจนไม่ได้”
อืม คำพูดเช่นนี้ไป๋อีเฟิงฟังแล้วรู้สึกดีนัก ก็บอกแล้วอย่างไรเล่า เขาเป็นคนเก่งกาจ ก็ย่อมมีเงินอยู่แล้ว
เมื่อดีใจ ก็วางตั๋วเงินลงในฝ่ามือของหนานหนานอีกใบหนึ่ง “ต่อไปก็พูดดีๆ ต่อหน้าข้าอีกหน่อย ข้าน่ะชอบฟังเจ้าพูดความจริงนัก ข้า…”
หางตาของเขากวาดมอง น้ำเสียงหยุดลงในทันที จากนั้นก็ชี้ไปยังใต้เตียงแล้วกล่าว “หาเจอแล้ว คนผู้นั้นอยู่ตรงนั้นนั่นเอง”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนานหนานไถเงินได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ ชาติก่อนเป็นคันไถหรือเปล่าคะ
ใครหลบอยู่ใต้เตียงกันหนอ
ไหหม่า(海馬)