อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 822 เจอกันตอนเที่ยง
ตอนที่ 822 เจอกันตอนเที่ยง
ตอนที่ 822 เจอกันตอนเที่ยง
“ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใด” เหมิงลู่เข้าไปใกล้กว่าเดิม
เจียงเอ๋อร์ตกใจเขาเป็นอย่างมากจนเกือบสำลักขนม หนานหนานรีบวิ่งไปด้านหลังแล้วช่วยตบหลังให้เขา “เจ้าระวังหน่อยสิ กินก็กินไม่เป็นหรือ ต้องกินช้าๆ มานี่เดี๋ยวข้าสอน”
เขากล่าว จากนั้นก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากอย่างไม่เกรงใจ แล้วก็เริ่ม… เคี้ยว
เย่ซิวตู๋ ไป๋อีเฟิง และเหมิงลู่หันหน้าออกไปอย่างเงียบๆ วิธีการกินเช่นนี้ของเขา ยังจะกล้าสอนผู้อื่นอีก
อยากกินบ้างก็บอกมาตามตรงเถิด อย่างไรพวกเขาต่างก็รู้นิสัยสุดโต่งของเขาดี ไม่ล้อเขาเป็นแน่
“…” เจียงเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก คิดอีกครั้งว่าเด็กคนนี้และแม่นางอวี้เหมือนไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆ กัน เห็นได้ชัดว่าแม่นางอวี้เป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและมั่นคง เหตุใดบุตรชาย… จึงน่าขบขันเพียงนี้
หนานหนานกินขนมสองชิ้นติดต่อกัน จากนั้นก็ตบท้องอย่างพึงพอใจ ขนมที่โรงเตี๊ยมนี้ไม่อร่อยเท่าที่ท่านปู่ทวดให้เขาเลย เพียงแต่ตอนนี้ท่านปู่ทวดหมดสติอยู่ เพียงเห็นขนมเหล่านี้ก็คิดถึงเขาขึ้นมา ในใจก็ไม่สบายนัก ความอยากอาหารก็หายไป
ดังนั้นตั้งแต่ผู้อาวุโสสกุลหมิงหมดสติไป เขาก็ไม่ได้กินขนมอร่อยๆ ของห้องครัวใหญ่นั้นอีก
หนานหนานมีอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อย จริงๆ แล้วเขากลัวมากว่าต่อไปท่านปู่ทวดจะไม่ฟื้นขึ้นมา
ท่านแม่เคยบอกไว้ มีคนบางประเภทที่เรียกว่านอนเป็นผัก คนยังมีชีวิตอยู่ แต่ทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง กระทำอันใดไม่ได้แล้ว คนเหล่านี้หากดูแลดีๆ หรือในใจมีความปรารถนาและความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ไม่แน่ว่าอาจจะฟื้นขึ้นมาได้
แต่ถ้าไม่มีความหวังใดๆ ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดไป
ท่านปู่ฮั่วบอกว่า สถานการณ์ของท่านปู่ทวดและบิดาของน้องอวี้นั้นไม่เหมือนกัน เหมิงหรงยังสามารถใช้กำลังภายนอกเพื่อปลุกให้ฟื้นได้ แต่ท่านปู่ทวด…
เย่ซิวตู๋เห็นว่าอารมณ์ของเขาหม่นหมองลงกะทันหัน ไม่รู้ว่าเหตุใด ก็โบกมือเรียกแล้วอุ้มหนานหนานกลับมาวางไว้บนตักของตน
เขากล่าวกับเจียงเอ๋อร์ “ท่านนี้คือประมุขของดินแดนเหมิง เรื่องเหล่านี้ เจ้าสามารถบอกเขาได้”
เจียงเอ๋อร์เบิกตากว้างในทันใด โชคดีที่ขนมในปากนั้นถูกกลืนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะสำลักจริงๆ
เขามองเหมิงลู่ เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้โดยตรง “ท่าน ท่าน ท่านคือประมุขของดินแดนเหมิงจริงๆ หรือ”
จริงสิ เขาก็บอกอยู่ว่าคนผู้นี้คุ้นตา ก่อนหน้านี้ในดินแดนเหมิงมีการบวงสรวงครั้งใหญ่ ท่านประมุขเคยนั่งอยู่บนหลังม้า เขาก็เคยเห็นครั้งหนึ่ง
เหมิงลู่ยิ้มให้เขา พยักหน้าแล้วกล่าว “ข้าคือประมุขของดินแดนเหมิง เป็นประมุขที่จิตใจชั่วร้ายที่เขาว่ากันผู้นั้นนั่นแหละ”
เจียงเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย รีบส่ายหน้าแล้วกล่าว “ข้าไม่เชื่อขอรับ โดยเฉพาะวันนี้เมื่อพบคนผู้นั้น ข้าก็คิดว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นแผนการของคนคนหนึ่งที่คิดจะทำร้ายท่านประมุขขอรับ”
“หาได้ยากที่เด็กอายุเพียงเท่านี้เช่นเจ้าจะเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ได้” เหมิงลู่ลูบศีรษะเขา
เจียงเอ๋อร์ยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก สถานะของเหมิงลู่นั้นถูกกำหนดให้โดดเด่นกว่าคนทั่วไป คำชมของเขาอย่าว่าแต่เด็กคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ทั่วไป ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
เจียงเอ๋อร์หยุดไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก รีบกล่าว “จริงสิ ข้ารู้ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด ตอนนี้ข้าจะพาพวกท่านไปขอรับ”
“ดี” เหมิงลู่พยักหน้า มองท้องฟ้าด้านนอก ยังไม่สายนัก ตอนนี้เรื่องราวรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
กลุ่มคนเดินออกจากห้องอีกครั้ง รถม้าของไป๋อีเฟิงยังหยุดอยู่ที่ประตูหลัง หลังจากที่สองสามคนนั้นขึ้นรถ ก็มุ่งหน้าไปตามทางที่เจียงเอ๋อร์ชี้ เริ่มไปทางถนนด้านซ้าย
เย่ซิวตู๋ย้อนมองทิวทัศน์ข้างทาง แววตาก็ค่อยๆ หม่นลง
ดูเหมือนชิงเอ๋อร์จะเคยบอกไว้ โรงเตี๊ยมที่หาใหม่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้
จากนั้นไม่นานรถม้าก็หยุดลง สองสามคนพากันลงจากรถม้าทีละคน
เหมิงลู่อุ้มเจียงเอ๋อร์ไปข้างหน้า เจียงเอ๋อร์ยังคงหน้าแดงอยู่เล็กน้อย ท่านประมุขแห่งดินแดนเหมิงผู้ยิ่งใหญ่มาอุ้มขอทานน้อยที่สวมใส่เสื้อผ้าปะติดกันทั่วร่าง ช่างทำให้ในใจเขาทั้งตื่นเต้นและเขินอายอย่างมาก คิดอยากจะลงไปอยู่หลายครั้ง
แต่เมื่อเห็นว่าฝีเท้าของพวกเขาล้วนรวดเร็วมาก หากตนลงไปข้างล่างจะต้องตามไม่ทันเป็นแน่ จึงยอมอยู่ในอ้อมแขนของเหมิงลู่อย่างเชื่อฟัง นิ้วมือชี้ไปทางซ้ายมือแล้วกล่าว “ตรงนั้นขอรับ”
ตรงนั้นมีสระน้ำเล็กๆ อยู่โดดเดี่ยว ไม่มีคน แต่รอบข้างกลับไม่มีกำแพง มีเพียงต้นหลิวไม่กี่ต้นที่ลู่ไปตามลม
เจียงเอ๋อร์กล่าว “ตอนนั้นข้าแอบได้ยินตรงหัวมุมถนน สองคนนั้นกล่าวว่าตอนเที่ยงจะมาพบกันที่สระน้ำเล็กๆ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเล็กน้อยกว่าจะถึงตอนเที่ยงขอรับ”
พวกเย่ซิวตู๋สองสามคนหยุดฝีเท้า ที่นี่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ นอกจากว่าจะขึ้นไปบนต้นหลิวนั้น แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยบนต้นหลิว ก็จะถูกสังเกตเห็นได้ อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะไปคุยกันตรงไหน หากอยู่ห่างออกไปจากต้นหลิว เช่นนั้นก็ไร้ความหมาย
“ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยาม รออยู่ที่นี่ก่อนเถิด ดูว่าเขามาพบกับใคร” เหมิงลู่กล่าว
เย่ซิวตู๋พยักหน้า วางหนานหนานลงกับพื้น
เพียงขาของหนานหนานยืนอย่างมั่นคง ก็ดึงแขนเสื้อของเจียงเอ๋อร์ทันที กล่าวว่า “มานี่ๆ เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้ารู้จักกับท่านแม่ของข้าได้อย่างไร นางกล่าวอันใดกับเจ้าหรือ ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ผอมลงบ้างหรือไม่ ข้าไม่ได้เจอท่านแม่ของข้ามาหลายวันแล้ว”
เจียงเอ๋อร์เองก็ลงมาที่พื้นเช่นกัน มองหนานหนานแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองเย่ซิวตู๋อีกแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามไปที่อีกด้าน บอกกล่าวหนานหนานถึงสถานการณ์ของอวี้ชิงลั่วเสียงเบา
เด็กทั้งสองคนพึมพำกันอยู่ที่ด้านข้าง เหมิงลู่และเย่ซิวตู๋ทั้งสองคนเม้มปากแน่น จ้องมองบ่อน้ำเล็กด้วยแววตาหรี่ลงเล็กน้อย
ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นก็มีคนคนหนึ่งเดินมาจากไกลๆ
ไม่รู้ว่าเจียงเอ๋อร์วิ่งมาที่ด้านข้างเย่ซิวตู๋ตั้งแต่ตอนไหน ชี้ไปที่คนผู้นั้นอย่างเคร่งเครียดแล้วกล่าว “เป็นเขา เป็นคนผู้นั้นที่ปล่อยข่าวลือขอรับ”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า ให้เขาถอยไปสองสามก้าว แววตาจ้องไปยังคนผู้นั้นเขม็ง
คนผู้นั้นดูแล้วฉลาดมีความสามารถ ระหว่างที่แววตากลอกไปมา ก็ดูออกว่าคนผู้นี้เป็นคนช่างเจรจา
พิจารณาจากรูปร่างและแววตาของเขาก็น่าจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง เพียงแต่ไม่สูงนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องที่เจียงเอ๋อร์แอบตามเขาไป
เหมิงลู่หรี่ตาอย่างระมัดระวัง สีหน้าเย็นชา เขากลับอยากจะดูว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร
คนผู้นั้นยืนอยู่ริมสระน้ำ จ้องมองปลาในสระอย่างเบื่อหน่าย หลังจากนั้นสีหน้าก็แสดงความบ้าเลือดออกมา หยิบเอาหินขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงไปในน้ำ จนปลาไนสีแดงกระโดดขึ้นดิ้นเร่าไปมา
ชายคนนั้นหัวเราะฮ่าๆ ออกมา ราวกับว่าพึงพอใจอย่างมาก
หนานหนานมองจากที่ไกลๆ คิ้วเล็กๆ ขมวด กล่าวเสียงเบา คนผู้นี้เป็นบ้าหรือขอรับ” เขาไม่กินปลา แล้วเหตุใดต้องฆ่าปลาด้วย ทั้งยังหัวเราะได้อย่าง… น่ารังเกียจนัก
เย่ซิวตู๋ไม่ได้กล่าวอันใด เห็นว่าใกล้จะเที่ยงเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว สีหน้าของทั้งสองสามคนก็ยิ่งจริงจังขึ้นเรื่อยๆ
ยังมีเวลาอีกหนึ่งเค่อก็จะเที่ยง หากอีกฝ่ายปรากฏตัวตรงเวลา เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รอลุ้นเลยค่ะ ว่าตัวการปล่อยข่าวลือมันเป็นใคร จะเป็นคนวงในหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)