อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 84 ห้ามแพร่งพรายออกไป
ตอนที่ 84 ห้ามแพร่งพรายออกไป
เสียง “กึก” ดังขึ้น ขาทั้งสองข้างของเหมียวเชียนชิวสั่นเทาน้อยๆ เซไปก้าวหนึ่ง ชนจนกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะพลิกคว่ำ
สองพ่อลูกที่กำลังสบตากันหันมาอย่างพร้อมเพรียง หนานหนานขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน “ข้ากล้ามั่นใจได้ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน”
เหมียวเชียนชิวมุมปากกระตุกเบา ๆ เขารีบจัดระเบียบตนเองและยืนอย่างดี ก่อนจะเริ่มตรวจสอบหนานหนานอย่างละเอียดถี่ถ้วน
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ราศีประเภทนั้นที่อยู่บนใบหน้านี้ก็ดูเหมือนกับท่านอ๋องซิวมากจริง ๆ เด็กคนนี้หน้าตาดีและฉลาด ผิวดูนุ่มนิ่มอมชมพูสุขภาพดี มีความสง่างามมากกว่าองค์ชายน้อยเหล่านั้นที่อยู่ในวังเสียอีก
เย่ซิวตู๋ไม่ชอบสายตาเช่นนั้นของเขาเอาเสียเลย จึงเบี่ยงตัวเล็กน้อย พร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตักเตือนเล็ก ๆ “เรื่องนี้ ห้ามแพร่งพรายออกไป และห้ามบอกนายท่านของท่านด้วย”
เหมียวเชียนชิวชะงัก เขาอยากมองหนานหนานให้มากกว่านี้อย่างห้ามไม่อยู่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางที่เย็นชาของเย่ซิวตู๋ เขาจึงก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ
เขาอยากถามว่ามารดาของหนานหนานเป็นใคร อยากรู้ว่าสตรีผู้นั้นอยู่ในจวนแห่งนี้หรือไม่ และอยากทราบว่าท่านอ๋องซิวแต่งงานอยู่ข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาตใช่หรือไม่
แต่ก็ไม่ถูกสิ เด็กคนนี้ดูเหมือนจะอายุ 5-6 ขวบแล้ว สีปีก่อนที่ท่านอ๋องซิวออกจากเมืองหลวง ตอนนั้นเขายังไม่มีสตรีข้างกายแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะคลอดเด็กที่โตขนาดนี้ออกมา
สมองของเหมียวเชียนชิว บังเกิดความยุ่งเหยิง มีคำพูดบางอย่างที่อยากพูดแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายแล้วเย่ซิวตู๋ก็เป็นเจ้านายผู้หนึ่ง ต่อให้เขาเป็นขันทีที่มีประโยชน์มากที่สุดข้างกายของจักรพรรดิ แต่ก็ทราบถึงความพอดี มิอาจถามเรื่องของเจ้านายเกินกว่าสถานะของตนเองได้
ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากท่าทางของท่านอ๋องซิวแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะบอกเขาเลย
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง แอบรู้สึกปวดหัวขึ้นมา แม้จะเตือนอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ภายในใจก็ทราบดีว่าคำเตือนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เกรงว่าหลังจากอีกฝ่ายกลับไปแล้ว คงนำสถานะของหนานหนานไปบอกเจ้านายของเขาเป็นสิ่งแรก
“หนานหนาน พวกเราไปกันเถอะ” เย่ซิวตู๋กอดหนานหนานไว้ให้แน่น ไม่คิดจะพัวพันกับอีกฝ่ายต่อไป
เหมียวเชียนชิวชะงัก “ท่าน…”
…อ๋อง เหตุใดถึงไปเร็วเช่นนี้? เขายังพูดไม่จบเลย
เหมียวเชียนชิวลอบถอนหายใจ ได้แต่คิดว่าเรื่องนี้ชักจะซับซ้อนเสียแล้ว
เย่ซิวตู๋อุ้มหนานหนานไปที่ห้องด้านหน้าสุด ตามหาไข่มุกราตรีที่เขาทำหล่นไว้ จากนั้นก็ไปหาถุงเงินสองใบหน้าประตูที่หนานหนานเอาแต่บ่นถึง จากนั้นจึงกดเปิดประตูห้องลับและพาเขาออกไปพร้อมกัน
เสียงกึก ๆๆ ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา อวี้ชิงลั่วที่อยู่ด้านหลังภูเขาเทียมตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ นางรีบยืนให้มั่น เม้มปากแน่นมองไปยังตำแหน่งนั้นที่เกิดเสียง
ผ่านไปได้ไม่นาน ก็พบเงาของผู้ใหญ่และเด็กคู่หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกเล็กน้อย ใบหน้าของนางดูเย็นชา และหมุนตัวมาขวางตรงหน้าของทั้งสองคน
“พวกเจ้าสองคนนี่ดูสบายใจจริงนะ”
หนานหนานเงยหน้าขึ้น ก็พบท่านแม่กำลังหรี่ตามองด้วยท่าทางที่ดูเป็นอันตราย หัวใจพลันเต้นระรัวขึ้นมา พร้อมกับถามตะกุกตะกัก “ท่าน…ท่านแม่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
มิใช่ว่ารู้เรื่องที่เขาแอบกลืนไข่มุกราตรีเพียงลำพังหรอกกระมัง?
“อ๋อ ข้าออกมาเดินเล่น เดินมาถึงที่นี่พอดี คิดไม่ถึงเลย…ว่าจะเจอกับพวกเจ้า” คำพูดที่นางตอบหนานหนาน ทว่าสายตาคู่นั้นกลับประสานเข้ากับดวงตาของเย่ซิวตู่ นัยน์ตานั้นเปี่ยมล้นด้วยแววดุดัน
นางพอจะทราบแล้วว่าเหตุใดเมื่อคืนก่อนนางถึงไม่เจอหนานหนาน ที่แท้สถานที่แห่งนี้ก็มีห้องลับจริง ๆ
เย่ซิวตู๋เหม่อมองท้องฟ้า ทำท่าทางราวกับมองไม่เห็นและฟังไม่เข้าใจถึงความหมายที่อยู่ในคำพูดของนาง
แต่หนานหนานที่อยู่ในอ้อมกอดของเขากลับไม่เหมือนกัน เมื่อได้ยินว่าท่านแม่ไม่ได้มาเพราะไข่มุกราตรีของเขา ก็รีบตบหน้าอก พูดจาราวกับอยากปกปิดแต่กลับเผยพิรุธเด่นชัดว่า “ท่านแม่ ข้าเองก็คิดว่าบังเอิญมากเลย ข้าจะบอกอะไรให้นะ ข้าไม่ได้มีเรื่องปิดบังท่านแม่จริง ๆ นะ ข้าก็แค่มาหาท่านพ่อ”
อวี้ชิงลั่วยิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น มีเรื่องปิดบังนางจริง ๆ ด้วย เจ้าเด็กสารเลวคนนี้
เดี๋ยวนะ
ท่านพ่อ?
“เจ้าเรียกเขาว่าท่านพ่อ?” ใบหน้าอวี้ชิงลั่วบิดเบี้ยว เปลี่ยนเป็นซับซ้อนและดูไม่น่ามองยิ่งนัก
หนานหนานหดคอ ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของเย่ซิวตู๋ เขาผิดไปแล้ว หากรู้แบบนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่พูด เหตุใดท่านแม่ถึงไม่จับประเด็นสำคัญในคำพูดของเขาอยู่เรื่อยเลย?
เย่ซิวตู๋หัวเราะเบา ๆ เขาก้าวเท้าออกมาจากภูเขาเทียมหนึ่งก้าว อุ้มหนานหนานตรงไปด้านหน้าโดยมิได้สนใจอวี้ชิงลั่ว
“เย่ซิวตู๋ ปัญหาเกี่ยวกับคำเรียกเช่นนี้ ท่านควรปรึกษากับข้าก่อนมิใช่หรือ? หนานหนานเรียกท่านว่าท่านพ่อ หากคนอื่นมาได้ยินเข้าจะทำเช่นไร? ตัวท่านมี…”
อวี้ชิงลั่วก้าวเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว เหมียวเชียนชิวที่ซ่อนตัวอยู่ด้านล่างของภูเขาเทียมรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของทั้งสองเดินห่างไกลออกไป จึงแอบถอนหายใจและเดินออกมา
สตรีเมื่อครู่…คือมารดาของบุตรชายท่านอ๋องซิว? เหตุใดนางถึงกล้าพูดกับท่านอ๋องซิวเช่นนี้?
เหมียวเชียนชิวออกแรงสะบัดหน้า ช่างเถิด รีบกลับไปที่วังแล้วนำเรื่องของท่านอ๋องซิวไปกราบทูลกับจักรพรรดิก่อน
ร่างของเขาไหววูบ เพียงไม่นานเหมียวเชียนชิวก็ใช้เส้นทางเดิมเดินออกจากจวนไป
เรื่องที่เขาออกจากวังแม้ว่าจะเป็นความลับ แต่คนที่มีแผนอยู่ในใจก็จับตามองจวนของเย่ซิวตู๋ก่อนหน้านี้แล้ว ย่อมตรวจเจอร่องรอยของเขา
เหมียวเชียนชิวทราบดีอยู่แก่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงรีบไปที่ห้องตำราหลวงในทันที
ภายในห้องตำราหลวงมีแสงเทียนส่องสว่าง จักรพรรดิทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดคลุมมังกรสีเหลืองอร่ามยืนขมวดพระขนงเล็กน้อยขณะยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดพระเนตรไปยังดวงจันทร์ที่ประดับอยู่บนท้องนภา พระหัตถ์ที่ยกไพล่อยู่ด้านหลังกลับถูกบีบเข้าจนแน่น
กระทั่งขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูผลักประตูเข้ามาเบา ๆ กราบทูลเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท เหมียวกงกงกลับมาแล้วพะยะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา” จักรพรรดิสูดพระอัสสาสะลึก สาวพระบาทกลับไปนั่งข้างโต๊ะอย่างนิ่งสงบ พระองค์หยิบรายงานที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา กวาดสายพระเนตรอ่านเงียบๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหมียวเชียนชิวก็โค้งคำนับและคุกเข่าลง “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิด จัดการเรื่องราวเป็นเช่นไร?”
เหมียวเชียนชิวค้อมกายเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินมาข้าง ๆ จักรพรรดิอย่างรวดเร็วและมั่นคง กระซิบเล่าเรื่องภายในจวนของท่านอ๋องซิวให้พระองค์ได้สดับ
จักรพรรดิมีท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมารับขวดกระเบื้องเคลือบที่เหมียวเชียนชิวถวายให้ ผ่านไปครู่หนึ่ง บนพระพักตร์พลันปรากฏรอยพระสรวลจาง ๆ เกิดอารมณ์แปรปรวนอย่างยิ่งยวด “เขาใส่ใจดีนะ”
จักรพรรดิผู้ไร้อารมณ์ กลับโปรดปรานเย่ซิวตู๋ผู้เป็นโอรสพระองค์นี้อย่างมาก เป็นเพราะเขา พระองค์จึงตั้งพระทัยปลดองค์รัชทายาท แต่น่าเสียดายที่ซิวเอ๋อร์[1]ไม่ได้สนใจในราชบัลลังก์ มิเช่นนั้นด้วยความสามารถของเขาแล้วย่อมจัดการอาณาจักรเฟิงชางให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ทำให้อาณาจักรสงบสุข ประชาชนเกิดความร่มเย็นเป็นแน่
เหมียวเชียนชิวพยักหน้าเบา ๆ เขาทราบดีว่าจักรพรรดิให้ความสำคัญกับท่านอ๋องซิวเป็นอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนี้ เรื่องที่ท่านอ๋องซิวมีบุตรชายแล้ว เขาจึงทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อย่างลังเล
“อะไรหรือ ยังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่บอกเรา?” จักรพรรดิทอดพระเนตรไปที่เขา ทั้งสองเป็นเจ้านายและบ่าวมานานหลายปี ย่อมทราบดีว่าอีกฝ่ายยังพูดเรื่องทั้งหมดไม่จบ
เหมียวเชียนชิวขบฟันแน่นและพูดโพล่งออกมา “ฝ่าบาท วันนี้ตอนที่กระหม่อมกำลังคุยกับท่านอ๋องซิว มีเด็กคนหนึ่งบุกเข้ามาพะยะค่ะ”
“เด็ก?” จักรพรรดิขมวดพระขนง “เหตุใดเจ้าถึงได้ประมาทเช่นนี้? เด็กคนนั้นเล่า?”
“เปล่าพะยะค่ะ ฝ่าบาท เด็กคนนั้น…เด็กคนนั้นเรียกท่านอ๋องซิวว่าท่านพ่อพะยะค่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] เอ๋อร์ (儿) เป็นคำสร้อยต่อท้ายชื่อ ส่วนใหญ่จะเป็นชื่อที่พ่อแม่มักใช้เรียกลูก หรือผู้อาวุโสใช้เรียกเด็ก ๆ เป็นการแสดงออกถึงความสนิทสนมและเอ็นดู
สารจากผู้แปล
จู่ๆ ก็มีพระนัดดาเฉยเลย ฮ่องเต้จะทำอย่างไรล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)