อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 877 หนักใจ
ตอนที่ 877 หนักใจ
ตอนที่ 877 หนักใจ
เมื่อเห็นนางเงียบตลอดเวลา เย่ซิวตู๋ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อหันไปดู เขาก็เห็นนางมีสีหน้าแปลก ๆ
ซ่างกวนจิ่นชายคนนั้น เขียนสิ่งที่เขาไม่ควรเขียนหรือไม่?
เย่ซิวตู๋รู้สึกกระวนกระวายใจเพราะความอยากรู้ แต่รู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้ตนพูดว่าไม่อยากดูได้เต็มปากเกินไป จึงรู้สึกอายที่จะขอดู
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กระแอมเสียงดัง เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วหันมามอง เขาก็ถามว่า “มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก แล้วพูดด้วยเสียงเบา “ซ่างกวนจิ่นบอกว่าในไม่ช้า เหมิงกุ้ยเฟยน่าจะรู้เรื่องในดินแดนเหมิง และอาจจะเกิดความปั่นป่วนในอาณาจักรเฟิงชางเร็ว ๆ นี้ พวกเราจึงควรกลับไปก่อน อีกทั้ง…”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เขาย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครรู้ความคิดของเหมิงกุ้ยเฟยดีไปกว่าเขา
พิจารณาจากสถานการณ์แล้ว เดิมทีนางต้องการช่วยเหมิงจื้อเฉิงได้เป็นประมุขของดินแดนเหมิง จากนั้นจะใช้อำนาจของดินแดนเหมิง เพื่อให้เย่ฮ่าวถิงได้ครองบัลลังก์ฮ่องเต้
แต่เหมิงจื้อเฉิงล้มเหลว ซึ่งเปรียบเสมือนเหมิงกุ้ยเฟยถูกตัดแขนขวาไปแล้ว ฉะนั้นนางจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่
ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจพัฒนาไปในทางที่เลวร้ายมาก
“ว่าอย่างไรอีก?” เย่ซิวตู๋ถาม
“ซ่างกวนจิ่นบอกว่าอวี๋จั้วหลินลี้ภัยไปอยู่กับองค์ชายเจ็ด และด้วยคำแนะนำขององค์ชายเจ็ด ตำแหน่งทางการก็ถูกยกขึ้นทีละขั้น และเลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็วมาก”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า แล้วคว้าจดหมายออกจากมือของนาง
เพียงแค่แวบเดียว สีหน้าของเขาก็มืดมนลง เกือบทั้งหน้าจดหมายของซ่างกวนจิ่น เต็มไปด้วยถ้อยคำพรรณนาถึงความเป็นห่วงอวี้ชิงลั่วยืดยาว ซึ่งเขาอ่านแล้วก็แทบอยากฉีกมันทิ้ง
มีเพียงย่อหน้าสุดท้ายเท่านั้นที่กล่าวถึงความตั้งใจเดิมของเขา ว่าจะร่วมมือกับเหมิงกุ้ยเฟยและคนอื่น ๆ รวมถึงข่าวบางอย่างที่เขาได้รู้มาหลังจากร่วมมือกับเหมิงกุ้ยเฟย
เรื่องที่เกิดขึ้นกับอวี๋จั้วหลินไม่ได้เป็นความลับมากนัก เย่ซิวตู๋ยังส่งคนไปเฝ้าจับตาดูเขาในเมืองหลวงอยู่ ดังนั้นเขาย่อมเข้าใจสถานการณ์ดี
สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจคือประโยคสุดท้ายของซ่างกวนจิ่น
เขาบอกว่าเหมิงกุ้ยเฟยกำลังส่งคนออกไป…เพื่อตามล่าและสังหารเย่ฮ่าวหรานกับจินหลิวหลี
ให้ตายเถิด เขาถูกลดระดับเป็นสามัญชน และได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาจะมีความมักใหญ่ใฝ่สูงได้อย่างไร ถึงเพียงนี้แล้วหมู่เฟยยังไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปอีก
“ท่านเป็นอะไรไป?” อวี้ชิงลั่วเหลือบมองสีหน้าพิกลของเขา
เย่ซิวตู๋เก็บกระดาษจดหมายไว้ ก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร”
ดูจากท่าทางของชิงเอ๋อร์แล้ว นางน่าจะยังไม่เห็นประโยคสุดท้าย นางจึงไม่รู้เรื่องจินหลิวหลีถูกตามล่า
เขาควรจะเก็บเป็นความลับก่อน เพราะเกรงว่านางจะกังวล
ฝีมือของเย่ฮ่าวหรานและจินหลิวหลีนั้นไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังมีทหารเดนตายมากมายที่หว่านเฟยทิ้งไว้ให้คอยอารักขาพวกเขา แค่ทหารเดนตายเหล่านั้น ก็มากเกินพอที่จะจัดการกับคนที่เหมิงกุ้ยเฟยส่งมาแล้ว
“แม้จดหมายของซ่างกวนจิ่นจะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่เขาก็ยังคิดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง เราต้องกลับอาณาจักรเฟิงชางให้เร็วที่สุด” เย่ซิวตู๋เก็บจดหมายไว้
อวี้ชิงลั่วเม้มปากและพยักหน้า นางเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นหันมาพูดว่า “ข้าอยากไปหาผู้อาวุโสสกุลหมิง และลองปรึกษาเรื่องวิธีการรักษาเขากับหมอเฒ่าฉยงซาน”
ดวงตาของเย่ซิวตู๋เป็นประกาย เขาตอบว่า “ตกลง” ก่อนจะจากไป
คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือผู้อาวุโสสกุลหมิงที่ยังไม่ฟื้น
แม้จะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่อาการปัจจุบันก็สาหัสยิ่ง
พวกเขาเริ่มช้าเกินไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปยังอาณาจักรเฟิงชาง จึงย่อมต้องรีบทำสิ่งที่ต้องทำให้เร็วที่สุด
โดยไม่มัวรีรอต่อไป นางก็ไปคฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิงกับเย่ซิวตู๋
หมอเฒ่าฉยงซานยังคงอยู่ที่นั่น ทุกวันนี้เขาพักผ่อนที่คฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิงเป็นส่วนใหญ่
เมื่อเห็นนาง หมอเฒ่าฉยงซานก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าได้ยินมาว่าเจ้านอนทั้งวันใช่หรือไม่?” นั่นทำให้เขาไม่อาจพูดคุยปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับนางได้
เมื่อนึกถึงการขาดความยับยั้งชั่งใจในตอนนั้น อวี้ชิงลั่วก็หน้าแดงเล็กน้อยขณะจ้องมองเขา “เมื่อสองวันก่อนข้าเหนื่อยเกินไป จึงนอนมากเกินไป ท่านมีอะไรข้องใจหรือไม่?”
“…ลั่วลั่วใจร้ายเสียจริง” หมอเฒ่าฉยงซานอยากจะพูดอีกสองสามคำ แต่เย่ซิวตู๋เดินเข้ามามองเขาพอดี
เขาได้แต่อ้าปากค้าง เขาเป็นถึงผู้อาวุโส แต่ทั้งสองไม่เคารพเขาเลย
อวี้ชิงลั่วเบียดหมอเฒ่าฉยงซานออกไป แล้วนั่งลงข้างเตียงของผู้อาวุโสสกุลหมิง จากนั้นก็วางมือบนข้อมือของเขา แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่านางดึงมือออกแล้ว หมอเฒ่าฉยงซานก็อธิบายการวินิจฉัยของเขาในวันนี้ว่า “…เดิมทีเขาไม่ได้หมดสติตลอดเวลา แต่ในตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บ เขาถูกวางยา เพื่อป้องกันไม่ให้พิษลุกลามไปทั่วร่างกาย ข้าจึงฝังเข็มตามจุดใหญ่ ๆ สองสามจุดบนร่างกายของเขา ด้วยวิธีนี้จะทำให้เขาหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และสมองของเขาได้รับผลกระทบ ดังนั้นเขาจึงหมดสติอยู่เช่นนี้”
อวี้ชิงลั่วยืนขึ้นมองดูผู้อาวุโสสกุลหมิง ที่มีใบหน้าซีดเซียวและน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว นางอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน
“ลอบสังหาร ลงมือฆ่า จนกระทั่งถึงกับทายาพิษไว้บนคมมีด นี่คือบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา เขาลงมือทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร? สำหรับเหมิงจื้อเฉิงนั้น ชดใช้ด้วยความตายยังถือว่าน้อยเกินไป”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า สายตาของเขามองไปบนเตียง แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านอาจารย์ยังคงมีความเมตตาต่อเขา ไม่เช่นนั้นต่อให้เขาจะได้รับบาดเจ็บและถูกวางยาพิษในตอนนั้น แต่การจัดการท่านลุงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”
แต่นั่นคือลูกชายของเขา ลูกชายคนเดียวของเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าลูกชายของเขาจะบ้าคลั่ง และปฏิบัติต่อเขาอย่างโหดร้าย
แม้เขาจะเห็นมันด้วยตาตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจสูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เช่นเดียวกับลูกชายของเขาได้
แต่มันเป็นเพราะความลังเลใจ ที่ทำให้เขาต้องมามีสภาพเช่นนี้ในตอนนี้
เย่ซิวตู๋กำหมัดแน่นทันที ทุกครั้งที่เขาเห็นผู้อาวุโสสกุลหมิงเป็นเช่นนี้ ความเกลียดชังเหมิงกุ้ยเฟยกับเหมิงจื้อเฉิงจะผุดขึ้นในใจเสมอ
อวี้ชิงลั่วเดินมาหาเขา ก่อนจับมือไว้แผ่วเบา แล้วพูดว่า “โชคดีที่ไม่ใช่ทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้ที่บาดเจ็บสาหัสเหมือนเขา จื่อเชียน จื่อฉี และเจ้าต่างก็มีความกตัญญูต่อผู้อาวุโสสกุลหมิง เขาย่อมเข้าใจดีและปลื้มใจ”
ขณะที่นางพูดก็ลูบมือเขาเบา ๆ จากนั้นจึงหันไปหารือเรื่องอาการของผู้อาวุโสสกุลหมิงกับหมอเฒ่าฉยงซาน
จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน อวี้ชิงลั่วก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเย่ซิวตู๋ด้วยสีหน้าหนักใจ
“ไม่มีทางช่วยได้เลยหรือ?” เย่ซิวตู๋เอ่ยถาม
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจยาว แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ตอนนี้… ยังไม่มี” คนป่วยนอนเป็นผักเช่นนี้ แม้แต่ในยุคที่นางจากมาก็ยังไม่อาจช่วยรักษาได้ นับประสาอะไรกับยุคนี้
ทำได้เพียงหวังว่าผู้อาวุโสสกุลหมิงจะอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง และฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว
เย่ซิวตู๋จับมือนางแน่น ขณะหายใจแรงขึ้น
อวี้ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความกังวล “รออีกหน่อยเถิด ผู้อาวุโสสกุลหมิงมีสุขภาพแข็งแรงและมองโลกในแง่ดี ข้าเชื่อว่า…”
“ไม่จำเป็นต้องพูด ข้าเข้าใจ” เย่ซิวตู๋ไม่ต้องการให้นางกดดันมากเกินไป เสียงของเขาแผ่วเบาและนุ่มนวล แต่เขาก็ทำได้เพียงจ้องไปข้างหน้านิ่ง ๆ โดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ในค่ำคืนอันมืดมิด หายากที่พวกเขาสองคนจะเดินเล่นกันในสวนเงียบ ๆ ฟังเสียงเหล่าแมลงและวิหคร้องเจื้อยแจ้ว ต่างคนต่างไม่ได้เอ่ยคำใด
“ท่านแม่ ท่านแม่…” ทันใดนั้น เสียงสดใสก็ดังมาจากข้างหน้า ทำลายความเงียบที่ปกคลุมคนทั้งสองทันที
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขอให้องค์ชายแปดกับหลิวหลีรอดด้วยเถอะ
จะมีโอกาสที่ผู้อาวุโสสกุลหมิงฟื้นขึ้นมาไหมหนอ
ไหหม่า(海馬)