อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 898 บุกเข้าไป
ตอนที่ 898 บุกเข้าไป
ตอนที่ 898 บุกเข้าไป
สีหน้าของผู้ตรวจการเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวบ้าง ซีดเผือดบ้าง
เย่ซิวตู๋เบนกลับมองไปอย่างอวี๋จั้วหลินอย่างดูถูกเหยียดหยาม คำรามเบาๆ “ทำร้ายข้าหรือ? ใต้เท้าอวี๋คิดมากไปแล้ว ข้าไม่ใช่ใต้เท้าอวี๋เสียหน่อยที่จะมีวรยุทธ์เพียงน้อยนิด ข้างกายข้ามียอดฝีมือคอยปกป้อง เพียงคนร้ายแค่คนเดียว หากทำร้ายข้าได้ ข้าก็คงไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว”
ผู้ตรวจการและข้าหลวงที่คุกเข่าอยู่ไปจนถึงทหารทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น นี่เป็นการดูหมิ่นและยั่วยุอย่างชัดเจน
“…” อวี๋จั้วหลินมีสีหน้าโกรธแค้นในทันใด เขาอยากจะพุ่งเข้าไปฟันอีกฝ่ายสักครั้งจริงๆ
แต่สถานะของเขาไม่สูงเท่าเย่ซิวตู๋ จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้
ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ยิ้มแล้วกล่าว “เหตุใดท่านอ๋องต้องแสดงความแข็งแกร่งกับข้าด้วยเล่า ไม่ว่าท่านอ๋องจะมีฝีมือมากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวไม่ให้ข้าเข้าไปตรวจค้นหาคนร้าย ข้าเป็นผู้สนองพระกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ท่านอ๋องยังจะขัดรับสั่งอีกหรือ?”
เย่ซิวตู๋ยืนจนเมื่อยเล็กน้อยแล้ว อุ้มหนานหนานนั่งลงตรงเก้าอี้ที่เขาลากมาก่อนหน้านี้ ยิ้มเหยียดหยาม “ใต้เท้าอวี๋ช่างสง่างามเสียจริงๆ ไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน ตอนนี้มีสถานะที่ดีขึ้นแล้ว ใต้เท้าอวี๋คงไม่ลืมช่วงเวลาที่คอยเฝ้าประตูเมืองใช่หรือไม่?”
ข้าหลวงฉินเริ่มปาดเหงื่อแล้ว พวกเขาจะไม่ต่อสู้กันที่นี่ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาเองก็คงประสบหายนะไปด้วย
เขาต้องการจะเกลี้ยกล่อม แต่สายตาของอวี๋จั้วหลินและเย่ซิวตู๋กำลังปะทะกันอย่างรุนแรง ราวกับว่าไม่มีทางเข้าไปแทรกได้อย่างไรอย่างนั้น
อวี๋จั้วหลินอดกลั้น ที่ตนต้องไปเฝ้าประตูเมือง สรุปแล้วก็เป็นความผิดเขาไม่ใช่หรือ?
เขาระงับความโกรธเกรี้ยวในใจเอาไว้ แค่นหัวเราะออกมา “ย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว นั่นเป็นน้ำใจที่ท่านอ๋องมอบให้ข้า”
“ในเมื่อรู้ว่านั่นเป็นน้ำใจของข้า เช่นนั้นท่านก็คงรู้ว่าควรตอบแทนอย่างไร ข้าเองก็ไม่ได้ขอให้ท่านทำสิ่งอื่น เพียงแค่ออกไปจากที่นี่เสีย อย่ามารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า”
“ท่าน…” อวี๋จั้วหลินกัดฟันจนแทบหัก มือที่อยู่ข้างตัวก็บีบแน่นราวกับว่าข้อต่อจะหักอย่างไรอย่างนั้น
ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงชุดด้านหลังของอวี๋จั้วหลินอย่างเงียบๆ
อวี๋จั้วหลินตัวแข็งทื่อ ในที่สุดก็ใจเย็นลงได้
เหตุใดเขาต้องมาต่อปากต่อคำกับเย่ซิวตู๋อยู่ตรงนี้ด้วย เขาเป็นท่านอ๋อง ทั้งยังเป็นคนที่ไร้ยางอาย เขาจะเถียงสู้คนที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร
อวี๋จั้วหลินสูดหายใจลึก จากนั้นก็หยิบสิ่งของสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วคลี่มันออกต่อหน้าเย่ซิวตู๋ ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคม กล่าวทีละคำอย่างชัดเจน “ท่านอ๋อง นี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท รับสั่งให้ข้าจับตัวอาชญากร ทุกคนต้องให้ความร่วมมือไม่ว่าจะไปที่ใด ตอนนี้ข้าต้องการตรวจสอบห้องนี้ หากท่านอ๋องฝ่าฝืน เช่นนั้นก็ถือว่าขัดขืนต่อพระกระแสรับสั่ง ข้าน้อยก็จะไม่เกรงใจท่านอ๋องอีกต่อไป”
เย่ซิวตู๋ยิ้มหยัน เขาช่างไร้เดียงสาจริงๆ
พูดอยู่ตั้งนาน ได้รับความอับอายตั้งมากมาย ตอนนี้คิดจะเอาพระราชโองการออกมาอีก
คิดว่าวันนี้ตนที่มาขวางอยู่ที่นี่จะกลัวสิ่งที่อยู่ในมือเขาอย่างนั้นหรือ?
เย่ซิวตู๋วางหนานหนานลงกับพื้น ตบหลังเขาแล้วกล่าวเบาๆ “ไปเสีย ไปเอาของจากท่านแม่เจ้ามา”
หนานหนานงุนงง ไปเอาของหรือ? ของอะไรกัน?
สีหน้าของเขาไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หันหลังเข้าห้องไป
เพียงแต่เดินไปถึงประตูก็ลังเลเล็กน้อย
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ก็วิ่งไปที่หน้าต่างที่ตนตีลังกาออกมาเมื่อครู่ จากนั้นก็ตีลังกาอีกครั้งแล้วเข้าไป
เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปาก มองการกระทำของเขาอย่างหมดคำจะกล่าว
เขาเดินเข้าไปด้วยเส้นทางปกติไม่ได้หรือ กระโดดเข้าทางหน้าต่างนั่นเป็นนิสัยเสียแบบไหนกัน
เย่ซิวตู๋ส่ายหน้า จากนั้นก็หันหน้ามามองอวี๋จั้วหลิน
แม้อวี๋จั้วหลินจะนำพระราชโองการออกมา แต่เย่ซิวตู๋ก็ยังคงนั่งอยู่หน้าประตู ทำให้ทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นไม่กล้าบุกเข้าใส่อย่างหุนหันพลันแล่น ทั้งยังไม่กล้าบุกเข้าไปในห้องอีกด้วย
ทำเพียงเจ้ามองหน้าข้า ข้ามองหน้าเจ้า ลังเลอยู่เช่นนั้น กระทั่งฝีเท้าก็ยังไม่อาจก้าวต่อ
อวี๋จั้วหลินเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
เขากลอกตา จากนั้นก็มองไปทางหลัวเซิ่งโหย่วที่พยายามทำตัวเหมือนไร้ตัวตน หรี่ตาแล้วกล่าว “ท่านผู้ตรวจการ ท่านเป็นผู้ตรวจการของจ้าวเฉิง พระราชโองการของฮ่องเต้ก็อยู่ตรงนี้ ท่านควรจะรู้ว่าควรร่วมมือกับข้าอย่างไรใช่หรือไม่”
หลัวเซิ่งโหย่วคิดแม้แต่จะกัดเขาให้ตายเสียด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการเข้าร่วมในข้อพิพาทนี้เลยแม้แต่น้อย
ในมืออวี๋จั้วหลินมีพระราชโองการ ส่วนท่านอ๋องซิวก็ไม่คิดจะถอยให้ เขาจะทำอันใดได้อีก กระนั้นอวี๋จั้วหลินยังจะผลักเขาไปตา ช่างอำมหิตนัก
ทว่า…
อย่างไรในมือของเขาก็มีพระราชโองการอยู่ เป็นรับสั่งของฝ่าบาท ต่อให้ท่านอ๋องซิวเพิกเฉยได้อย่างภาคภูมิ แต่ตัวเขาเองกลับทำไม่ได้
ดังนั้น ภายใต้สายตาข่มขู่ของอวี๋จั้วหลิน หลัวเซิ่งโหย่วทำได้เพียงกัดฟันก้าวไปข้างหน้า เกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยย่อมเชื่อในความบริสุทธิ์ของท่าน เพียงแต่ใต้เท้าอวี๋นั้นได้รับคำสั่งมา มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เช่นนั้นแล้ว ให้ใต้เท้าอวี๋เข้าไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก็น่าจะลดความสงสัยของใต้เท้าอวี๋ได้ใช่หรือไม่เล่าขอรับ?”
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขา แค่นเสียงไม่พอใจ
หลัวเซิ่งโหย่วเหงื่อตก มารดาของข้าหลวงฉินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเห็นเช่นนั้นก็รีบดึงข้าหลวงฉินไว้แล้วกล่าว “เจ้าไม่เห็นพระราชโองการของฝ่าบาทหรือ? เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่ เช่นนั้นก็ต้องร่วมมือกับใต้เท้าอวี๋เพื่อทำหน้าที่สิ ยังไม่รีบไปอีก”
ตอนนี้ข้าหลวงฉินเริ่มเสียดายว่าเหตุใดต้องพาท่านแม่มาด้วย และยิ่งเสียดายที่หลายปีมานี้กตัญญูต่อมารดาเกินไป ทำให้มารดาของตนยิ่งมีนิสัยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ตอนนี้เขากลั้นหายใจ ไม่กล่าวอันใดทั้งนั้น หวังเพียงว่าท่านอ๋องจะเบนความสนใจไปทางอื่น ไม่ต้องมาเผาศีรษะตน
แต่ท่านแม่ของเขากลับ…
ในที่สุดเขาก็หันหน้าไปมองมารดาของตนด้วยสายตาแข็งกร้าว กล่าว “ข้าเป็นเพียงข้าหลวงตัวเล็กๆ เท่านั้น ข้ามีสิทธิ์กล่าวอันใดที่นี่กัน ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว หุบปากเสีย”
“โธ่ ข้า…” แม่ของเขาอยากกล่าวอะไรบางอย่าง ข้าหลวงฉินก็ปิดปากนางแน่น กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หากยังอยากให้หลานชายท่านมีชีวิตต่อไป ท่านก็ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชีวิตข้าก็ยากจะรักษาไว้”
มารดาของเขานึกรังเกียจบุตรชายที่ไร้ค่าผู้นี้ขึ้นมาทันที
ตอนนี้หวังพึ่งท่านอ๋องไม่ได้แล้ว แล้วจะหวังพึ่งใต้เท้าอวี๋ไม่ได้เลยหรือ? ดูใต้เท้าอวี๋พาทหารรักษาพระองค์มาสิ ดูจากที่เขากล้าต่อกรกับท่านอ๋องก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา สามารถทำอะไรได้มาก
ท่านอ๋องไม่ต้องการหลานชายนาง เช่นนั้นก็ไปเข้าทางใต้เท้าอวี๋ก็ได้
นางคิดจะกล่าวเช่นนี้ แต่ข้าหลวงฉินก็ปิดปากนางไว้อย่างสุดกำลัง เหงื่อแตกพลั่กจนเปียกโชกไปทั้งแผ่นหลัง
เย่ซิวตู๋กลับไม่สนใจพวกเขาสองแม่ลูกแม้แต่น้อย แค่นหัวเราะมองแวบเดียว จากนั้นก็หันหน้ามามองอวี๋จั้วหลิน
อวี๋จั้วหลินเองก็ไม่สนใจข้าหลวงฉิน เห็นว่าผู้ตรวจการไม่คิดจะทำให้ทั้งสองฝ่ายขุ่นเคือง ทั้งยังเห็นแววตายั่วยุของเย่ซิวตู๋ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว โบกมือขึ้นแล้วกล่าว “บุกเข้าไป ข้าอยากจะรู้นักว่าใครจะกล้าขวาง”
เขากล่าว จากนั้นก็ตรงเข้าไปทางเย่ซิวตู๋ แล้วเดินผ่านเก้าอี้ที่เขานั่งไป
อีกฝ่ายกลับทำเพียงฉีกยิ้ม ไม่ได้หยุดเขา
อวี๋จั้วหลินคิดจะผลักประตูให้เปิดออก แต่จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน
ทันใดนั้นก็เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและนุ่มนวลของอวี้ชิงลั่ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
นารีขี่ม้าขาวปรากฏตัวเสียที มากระทืบกระจั๊วนี่เร็วชิงลั่ว
ไหหม่า(海馬)