อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 907 เย่ซิวตู๋และคนอื่น ๆ หายตัวไป
ตอนที่ 907 เย่ซิวตู๋และคนอื่น ๆ หายตัวไป
ตอนที่ 907 เย่ซิวตู๋และคนอื่น ๆ หายตัวไป
มีทหารรักษาพระองค์มากกว่าสิบคนนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
อวี๋จั้วหลินอ้าปากค้าง รีบกระโดดลงจากหลังม้าและสาวเท้าไปข้างหน้า
เขาพาทหารรักษาพระองค์มาเพียงยี่สิบคนเท่านั้น แต่ตอนนี้ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว และอีกห้าหกคนก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
เมื่อทหารรักษาพระองค์เห็นเขา ก็รีบเข้ามาล้อมเขาไว้และกล่าวว่า “ใต้เท้า”
“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” อวี๋จั้วหลินบังคับตัวเองให้สงบลง แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเซียว
ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งมีสีหน้าสลดใจ เขาเหลือบมองศพบนพื้น ก้มศีรษะลงเล็กน้อยขณะพูดอย่างอ่อนแรงว่า “มีคนชุดดำจำนวนมาก แต่ละคนล้วนโหดร้ายยิ่งนัก องค์ชายซิวต้อนพวกเขาให้แตกพ่ายไปทุกทิศทุกทาง หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเรา…พวกเราคิดว่าชายชุดดำเป็นคนของเหนียงเหนียง ดังนั้นเราจึงคอยอยู่เคียงข้างห่าง ๆ ตลอดเวลา แสร้งต่อสู้และถอยหนี เพื่อรอให้ใต้เท้ากลับมาขอรับ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของเขาก็สั่นเครือเล็กน้อย และอวี๋จั้วหลินก็รู้สึกได้
เขาเม้มปากแน่น แล้วถามอย่างเย็นชา “แล้วเกิดอะไรขึ้นอีก?”
“ต่อมา… จู่ ๆ ชายชุดดำที่เหลือที่แสร้งทำเป็นต่อสู้กับเรา ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีเราแทน โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว เราถูกพวกเขาโจมตีสำเร็จ และคนของเราถูกฆ่าไปมากกว่าสิบคนภายในพริบตาเดียว เมื่อเรารู้สึกตัว พวกเขาก็หนีไปแล้วขอรับ”
อวี๋จั้วหลินต่อยต้นไม้ใหญ่ข้างกายเขาอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นสะท้าน “เหนียงเหนียงทำอะไรกันแน่?”
ทหารรักษาพระองค์ที่เหลือมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง แต่ในใจบังเกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เรื่องนี้ หากพูดถึงคนที่ต้องรับผิดชอบจริง ๆ อวี๋จั้วหลินย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบได้อย่างแน่นอน
หากเขาไม่ทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนไว้ที่นี่เพียงเพราะหญิงคนหนึ่ง แล้วพวกเขาจะสูญเสียคนไปครึ่งหนึ่งได้อย่างไร?
ทว่า…
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อวี๋จั้วหลินก็เป็นผู้นำของพวกเขา ไม่ว่าความคิดเห็นของพวกเขาจะรุนแรงเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกมาตามตรง
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเดาว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหนียงเหนียงคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ฝ่าบาทเชื่อถือได้มากกว่า? เพราะสุดท้ายตอนนี้เราก็มีหน้าที่รับผิดชอบปกป้ององค์ชาย หากองค์ชายสิ้นพระชนม์ แต่ทหารรักษาพระองค์อย่างเรากลับปลอดภัยดี และปราศจากการบาดเจ็บใด ๆ ฝ่าบาทก็คงจะลงโทษเราแน่นอน”
สีหน้าของอวี๋จั้วหลินเปลี่ยนไป สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ไร้เหตุผล
เดิมทีเหมิงกุ้ยเฟยเป็นคนโหดเหี้ยมอยู่แล้ว และภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้คือการฆ่าเจียงอวิ๋นเซิง หากเจียงอวิ๋นเซิงเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ การฆ่าคนของเขาครึ่งหนึ่งคงเป็นสิ่งที่เหมิงกุ้ยเฟยจะทำจริง ๆ
“ใต้เท้า…” ทหารรักษาพระองค์กุมแขนของตนขณะกระซิบ “ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดีขอรับ?”
“องค์ชายกำลังตกที่นั่งลำบาก” อวี๋จั้วหลินสูดหายใจเข้าลึก และปรับลมหายใจอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังศพบนพื้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นรีบเบนสายตาไปทางอื่น แล้วพูดช้า ๆ ว่า “แน่นอนว่าเรามีหน้าที่ต้องช่วยชีวิตผู้คน ทุกคนแยกย้ายกันไปค้นหาศพขององค์ชาย”
ทหารรักษาพระองค์หลายคนที่มีสีหน้าจริงจังพยักหน้าทันที
เมื่อเขากำลังวิ่งไป เขาก็มองไปยังทหารรักษาพระองค์ที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น จากนั้นสายตาก็ฉายแววหดหู่
อวี๋จั้วหลินสลัดความคิดยุ่งเหยิงในหัวของเขา และสลัดอารมณ์ยามรู้สึกว่าอวี้ชิงลั่วอาจถูกฆ่าตายไปแล้วทิ้ง ก่อนรีบวิ่งไปยังทิศทางที่ทหารรักษาพระองค์ชี้ว่าเย่ซิวตู๋ได้หายตัวไป
ทว่าเมื่อทุกคนค้นหาในป่าบริเวณใกล้เคียงเป็นเวลาเกือบทั้งวันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่พบวี่แววของใครเลย
ไม่ต้องพูดถึงเย่ซิวตู๋ แม้แต่ศพของชายในชุดดำก็ไม่มีใครเห็น
สีหน้าของอวี๋จั้วหลินแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ คิ้วของเขาแทบจะขมวดเป็นปม
เขารู้สึกว่าตนมองข้ามเรื่องสำคัญมากเกินไป แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จิตใจของเขาสับสนเล็กน้อย และเขาไม่สามารถเข้าใจได้
ทว่าขณะที่คนกลุ่มนี้กำลังพยายามค้นหารอบบริเวณอยู่นั้น
บัดนี้เย่ซิวตู๋กำลังนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบ ขณะเผยรอยยิ้มจาง ข้างหลังเขามีสาวใช้สองคนคอยโบกพัดให้เขาอยู่ตลอดเวลา
อวี้ชิงลั่วเดินเข้าประตูมา และเห็นภาพดังกล่าว
นางพูดประชดประชันทันที “โอ้โห องค์ชายซิวช่างโชคดีเสียจริง เพิ่งพ้นขีดอันตรายมาแท้ ๆ ก็ได้รับการต้อนรับจากเหล่าสาวงามทันที เมื่อเห็นว่าองค์ชายสำเริงสำราญมากถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าวางแผนจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยหรือไม่เพคะ?”
ชายคนหนึ่งที่น่าจะอายุไล่เลี่ยกับเย่ซิวตู๋นั่งอยู่บนที่นั่งใกล้ ๆ และกำลังดื่มชา เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็รู้สึกตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อวี้ชิงลั่ว แล้วใบหน้าของเขาก็บึ้งตึงขณะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนสั่งคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หาที่นั่งให้แม่นางผู้นี้”
ทันทีที่เขาพูดจบ สาวใช้ก็รับก้าวเข้ามาพาอวี้ชิงลั่วไปนั่งด้านข้าง และยกชามาให้อย่างรวดเร็ว
สายตาเย็นชาของอวี้ชิงลั่วยังคงจับจ้องไปที่เย่ซิวตู๋
เมื่อเห็นเช่นนั้น คิ้วของชายคนนั้นขมวดแน่นยิ่งขึ้น และเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “อากาศมันร้อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ข้าจะสั่งให้คนมาพัดให้องค์ชาย ดังนั้นแม่นางอย่าได้ถือสาเลย”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็มองหน้าอวี้ชิงลั่วด้วยความไม่พอใจ
ทั้งคำพูดและการกระทำแสดงให้เห็นว่าอวี้ชิงลั่วเป็นสตรีขี้หึง ที่ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดและไม่ดูกาลเทศะเลย
“…” อวี้ชิงลั่วหรี่ตามองเขา จากนั้นมองไปที่เย่ซิวตู๋ “ท่านจะแนะนำหน่อยหรือไม่?”
“พี่น้องร่วมสาบาน”
อวี้ชิงลั่วที่กำลังจิบชาเกือบจะพ่นชาออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางรีบปิดปากและไอออกมาเบา ๆ “ท่าน ท่านมีพี่น้องร่วมสาบานด้วยหรือ?”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ราวกับว่าตนได้ทำร้ายความนับถือตนเองของคนอื่นไปแล้ว นางรีบยกมือขึ้นพูดกับชายคนนั้นว่า “ขออภัย ขออภัยท่านด้วย ข้าหมายถึงเย่ซิวตู๋เป็นคนรักสันโดษ เขาดูไม่เหมือนคนที่จะสาบานร่วมกับคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าท่านทั้งสองมีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก หรือมีมุมมองต่อชีวิต ทัศนคติและค่านิยมต่างกัน อันที่จริงข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย”
เย่ซิวตู๋ทำอะไรไม่ถูก เขาลุกขึ้นเดินไปข้างนาง ลูบหลังนางและพูดว่า “ฟ่านซิวอวิ๋น พี่ชายร่วมสาบานของข้า เขามีนิสัยตรงไปตรงมา อย่าได้ถือสาเขาเลย”
จากนั้นเขาก็กระซิบอีกครั้ง “เจ้ายังกล้ามาประชดประชันข้าอีกหรือ? อวี๋จั้วหลินเป็นห่วงเจ้ามากถึงกับทิ้งคนของเขาและวิ่งเข้าไปในป่าเพื่อช่วยเจ้า ใครกันแน่ที่ควรให้คำอธิบายแก่ข้า?”
อวี้ชิงลั่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคหลัง แต่ขมวดคิ้วมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนที่นั่ง แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ฟ่านซิวอวิ๋น… เป็นเพราะท่านทั้งคู่มีคำว่าซิวอยู่ในชื่อ พวกท่านจึงกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหรือ?”
“…” สีหน้าของเย่ซิวตู๋กลายเป็นประหลาดใจ และนางก็เดาถูกจริงๆ
นี่คือเหตุผลที่ ‘ทรงพลัง’ ที่สุดที่ทำให้ฟ่านซิวอวิ๋นต้องการเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา
เมื่อเห็นพวกเขากระซิบกระซาบกัน ฟ่านซิวอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร แต่ดูจากใบหน้าของเย่ซิวตู๋แล้ว ก็รู้ว่าเขากำลังพยายามประนีประนอมต่อหน้าอวี้ชิงลั่ว
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจทันที “เย่ซิวตู๋ เจ้ากลายเป็นคนใจเสาะเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด? ก็แค่หญิงคนหนึ่ง เจ้าทำท่าทางพินอบพิเทาเช่นนี้มีประโยชน์อย่างไร? ละอายใจบ้างหรือไม่? “
ในขณะที่เขากำลังตะโกน ชายคนหนึ่งที่หน้าตาค่อนข้างคล้ายเขา แต่ดูอ่อนวัยกว่าก็วิ่งเข้ามาจากนอกประตู ก่อนตะโกนสุดเสียงขณะเหงื่อโซมกาย “พี่ใหญ่ เจ้าตัวเล็กนั่นทรงพลังเกินไปแล้วขอรับ”
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีแววว่าหลังจบภารกิจนี้ กระจั๊วคงโดนนังกุ้ยเฟยสั่งเก็บแน่ๆ เลยค่ะ
ท่านอ๋องไปมีพี่น้องร่วมสาบานตอนไหนเนี่ย ตัวละครใหม่มาอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)