อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 921 แสร้งทำให้ตายใจ
ตอนที่ 921 แสร้งทำให้ตายใจ
ตอนที่ 921 แสร้งทำให้ตายใจ
อวี้ชิงลั่วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
เยว่ซินหอบหายใจช้า ๆ หลังจากนั้นไม่นานนางก็รีบพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ จู่ ๆ หมอเจียงก็ฟื้นขึ้นมาและนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบสั่งให้ข้าน้อยรีบมาหาองค์ชาย โดยเขาบอกว่ามีเรื่องจะบอกพวกท่านเจ้าค่ะ”
อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋มองหน้ากัน ความสงสัยฉายแววในดวงตาของพวกเขาพร้อมกัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบไปที่บ้านที่หมอเจียงอาศัยอยู่
โม่เสียนยืนอยู่ที่ประตูบ้านของหมอเจียง ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสิ่นอิงและเผิงอิงด้วย
เย่ซิวตู๋รีบก้าวเข้าไป จากนั้นโบกมือแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนออกจากลานบ้านไปอย่างเงียบเชียบ
หมอเจียงนั่งอยู่บนขอบเตียง เมื่อเห็นพวกเขากำลังมาก็ถอนหายใจ
“องค์ชาย แม่นางอวี้ จู่ ๆ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างได้ และมันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ข้าต้องรีบบอกตามตรง”
“โปรดบอกมาเลย” เย่ซิวตู๋ดึงเก้าอี้ออกมาให้อวี้ชิงลั่วนั่ง
หมอเจียงเม้มปาก สีหน้าของเขาจริงจังมาก จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่องค์ชายถามข้าว่าท่านอาจารย์ได้ทิ้งอะไรไว้หรือไม่ บางทีนี่อาจจะเป็นเบาะแสการตายของท่านอาจารย์ แต่ไม่ว่าข้าจะพยายามมากเพียงใดก็หาไม่เจอ ทว่าข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านอาจารย์เคยให้บางอย่างไว้กับสวีอี้”
สวีอี้หรือ?
เย่ซิวตู๋ไม่มีชื่อของคนผู้นี้ในความทรงจำ
เจียงอวิ๋นเซิงยกยิ้ม “เขาเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ของข้า มีคนไม่มากที่รู้จักเขา เดิมทีท่านอาจารย์ประทับใจพรสวรรค์ของเขา จึงยอมรับเขาเป็นแพทย์ฝึกหัด และให้เขาเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์กับท่านอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ใครจะรู้ว่าความสนใจของสวีอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาชอบวาดภาพและเขียนบทกวี สุดท้ายท่านอาจารย์จึงยอมแพ้และปล่อยเขาไป”
“แต่เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ในการวาดภาพและเขียนบทกวีใช่หรือไม่?” อวี้ชิงลั่วพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะเหลือบมองเย่ซิวตู๋
เพราะสุดท้ายหากเขาประสบความสำเร็จในด้านนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เย่ซิวตู๋จะไม่เคยได้ยินชื่อนี้
เจียงอวิ๋นเซิงยิ้มด้วยความอับอายเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “ใช่แล้ว ตอนนี้เขาจึงสามารถทำได้เพียงเปิดกิจการเล็ก ๆ อีกทั้งเขายังเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ร้อนด้วย ท่านอาจารย์เห็นเขาแล้วก็คิดว่าต่อให้เขาจะแก่ตัวลงก็ยังสามารถเรียนวิชาแพทย์ต่อได้ แต่เขาบอกว่าตราบใดที่เขาไม่มีใจ เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาไม่แตะต้องแม้แต่ยาด้วยซ้ำ และเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบาก”
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุก แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าไม่มีใจ แบบนี้เรียกว่าคนบ้า เขาดิ้นรนที่จะอยู่ด้วยตัวเอง แล้วครอบครัวของเขาเล่า? พวกเขาต้องการทนทุกข์ไปกับเขาด้วยหรือ? ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
เจียงอวิ๋นเซิงกล่าวต่อว่า “ครั้งหนึ่งข้าไปหาเขากับท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์ได้ให้ตำราเล่มหนึ่งแก่เขา โดยบอกว่าให้เขาอ่านเมื่อมีเวลาว่าง ถ้าเขาเสียใจและอยากจะกลับมาเรียนแพทย์ในอนาคต ตำราเล่มนั้นอาจมีประโยชน์กับเขาบ้าง”
“ตอนนั้นข้าคิดว่ามันเป็นตำราทางการแพทย์ธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นสวีอี้ก็รับมันไปด้วยความดูถูก แล้วเปิดผ่าน ๆ ดูอยู่สักพัก จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูแปลกไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บตำราลงกล่อง”
“ในตอนนั้นข้ายังคิดว่ามันค่อนข้างแปลก ที่ท่านอาจารย์มอบตำราทางการแพทย์แก่เขา แต่เขากลับโยนมันทิ้งลงกล่องโดยไม่แตะต้องมันเลย แต่ตอนนั้นข้าไม่ได้ถามอะไรเลย เพราะเห็นว่าท่านอาจารย์มีสีหน้าพึงพอใจ ข้าคิดว่าบางทีสวีอี้อาจเปลี่ยนใจอยากจะเรียนแพทย์ ข้าจึงทิ้งเรื่องนี้ไว้โดยไม่ได้เก็บมาคิดอีก”
อวี้ชิงลั่วเม้มปากขณะสบตากับเย่ซิวตู๋ จากนั้นมองไปที่เจียงอวิ๋นเซิงที่ก้มหน้าลงยิ้มฝืดเฝื่อน
เมื่อคิดว่าอาจารย์ของเขามอบบางสิ่งที่สำคัญต่อชีวิต ให้กับศิษย์ที่ไม่ต้องการเรียนวิชาแพทย์ มากกว่าจะมอบให้แก่ศิษย์เอกที่ทุ่มเทเล่าเรียนเคียงข้างอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แน่นอนว่าเขาคงรู้สึกไม่สบายใจนัก
นางกระแอมเบา ๆ และปลอบโยน “บางทีอาจารย์ของเจ้าอาจจะคิดว่า ตำราทางการแพทย์นั้นจะดูไม่สะดุดตา เมื่อวางไว้ข้างกายสวีอี้ก็เป็นได้”
เจียงอวิ๋นเซิงตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นมองนาง เขารู้ว่าแม่นางอวี้กำลังปลอบโยนเขาอยู่
เขาหัวเราะแห้งทันที แล้วพูดอย่างเคอะเขินว่า “แม่นางอวี้ ข้ารู้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิท่านอาจารย์ ในเวลานั้นข้าเป็นหมอเจียงที่มีชื่อเสียงในโรงหมอแล้ว ทุกคนต่างก็ทราบว่าข้าเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เล็งเห็นว่าวันหนึ่งเรื่องเลวร้ายอาจจะเกิดขึ้นกับข้า ท่านจึงให้สิ่งนั้นกับสวีอี้ เพื่อไม่ให้ข้าตกเป็นเป้าหมาย ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับท่านอาจารย์ นอกจากคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น การมอบสิ่งนั้นไว้ให้เขาก็เพื่อรักษาความปลอดภัย และเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับข้า”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจเบา ๆ เป็นเรื่องดีที่เขาเข้าใจ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อาจปลอบโยนเขาสำเร็จ และนางกลัวว่าเจียงอวิ๋นเซิงจะยิ่งคิดมาก
เย่ซิวตู๋ที่อยู่ด้านข้างมองนางด้วยรอยยิ้มอ่อน เมื่ออวี้ชิงลั่วมองมาที่เขา เขาก็หันหน้าไปพูดอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรอก หมอเจียง ท่านเขียนจดหมายเถิด เมื่อพวกเรากลับไปเมืองหลวงแล้วก็จะไปพบสวีอี้”
“เขียนจดหมายหรือ?” เจียงอวิ๋นเซิงอดประหลาดใจไม่ได้
เย่ซิวตู๋อธิบายว่า “สถานการณ์ปัจจุบันของท่าน ยังไม่เหมาะที่จะกลับไปยังเมืองหลวง ถ้ามีคนรู้ จะมีปัญหามากกว่านี้ ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านอยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน แล้วท่านค่อยกลับไปหลังจากที่ข้ากลับไปตรวจสอบเรื่องนี้กับฮ่องเต้ และสามารถทวงคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้โอกาสนี้ให้ท่านได้พักฟื้นได้ด้วย”
ดวงตาของเจียงอวิ๋นเซิงเป็นประกายทันที เขาจ้องมองเย่ซิวตู๋ด้วยความตื้นตันเล็กน้อย
เขารีบพยักหน้า “ขอบพระทัย ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรกังวลหรือ? ทว่าองค์ชายไม่พูด ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรบกวนองค์ชายได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีก เขารีบลุกขึ้นจากเตียง “ข้าจะเขียนจดหมายอธิบายเรื่องนี้ องค์ชายสามารถเสด็จไปที่ร้านขายขนมบนถนนตะวันออก เพื่อตามหาสวีอี้ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่เขาก็เป็นคนที่ไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็รีบหยิบพู่กันและกระดาษมา โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองเลยแม้แต่น้อย และรีบอธิบายทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
เขาเขียนเติมหน้ากระดาษสามแผ่น
เมื่ออวี้ชิงลั่วเห็นเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเอามือกุมแผลและเริ่มหอบหายใจอีกครั้ง พร้อมกับมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก นางก็รีบเรียกโม่เสียนและคนอื่น ๆ ข้างนอก ให้มาช่วยพยุงเจียงอวิ๋นเซิงไปที่เตียง
เย่ซิวตู๋ได้รับจดหมายแล้ว และยืนอยู่กับอวี้ชิงลั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากลานบ้านไป
อวี้ชิงลั่วหันหน้าไปมองเสิ่นอิง
เขาไม่ได้ดูผิดปกติแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยืนอยู่ข้างเผิงอิง ทั้งสองกระซิบกันสองสามคำ แล้วออกไปนอกลานบ้าน
อวี้ชิงลั่วแอบถอนหายใจ เย่ซิวตู๋เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะ “เหตุใดช่วงนี้เจ้าทำตัวเหมือนยายแก่มากขึ้นเรื่อย ๆ ?”
อวี้ชิงลั่วโต้กลับด้วยความหงุดหงิดว่า “ข้าแสร้งทำให้ตายใจต่างหาก” นางไม่ต้องการให้เสิ่นอิงเป็นสายลับเลย
เย่ซิวตู๋เม้มปาก ใบหน้าของเขาค่อนข้างจริงจัง เขาจับมือนางแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง สักวันเราต้องจับให้ได้”
“อืม”
สี่วันต่อมา องค์ชายหกมาถึงเมืองตันหยางที่พวกเขาอยู่
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครเป็นสายลับกันนะ ไม่อยากให้เป็นเสิ่นอิงเลย
ไหหม่า(海馬)