อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 926 ลำบากใจ
ตอนที่ 926 ลำบากใจ
ตอนที่ 926 ลำบากใจ
อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋มองหน้ากัน ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
ฮ่องเต้ไม่ได้สังเกต เพราะกำลังก้มพระพักตร์ลงพูดคุยกับหนานหนาน
ในที่สุดเขาก็กล่าวว่า “หนานหนานจะอยู่คุยกับพ่อที่นี่ก่อน หลังจากที่เจ้ากลับมาจากเยี่ยมหมู่เฟยของเจ้าแล้ว เราค่อยคุยกันต่อ”
หนานหนานไม่ต้องการเจอเหมิงกุ้ยเฟย เพราะว่าเขาไม่ชอบนาง เทียบกับการไปตำหนักอี๋ซิ่ง เขาชอบอยู่ในห้องตำราของฮ่องเต้มากกว่า
อวี้ชิงลั่วไม่มีทางเลือก อันที่จริงนางเองก็ไม่อยากไปเช่นกัน แต่นางไม่อาจปล่อยให้เย่ซิวตู๋ไปคนเดียวได้
ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้งแล้วเดินจากมา หลังจากออกไปแล้ว ก็ให้คนไปส่งข้อความหาเป่าเอ๋อร์ว่าให้เขากลับไปก่อนโดยไม่ต้องรอ
เย่ซิวตู๋รู้อยู่ในใจแล้วว่าหากเขากลับมายังเมืองหลวง ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องไปเจอเหมิงกุ้ยเฟย
เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของอวี้ชิงลั่ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อะไรกัน ลูกสะใภ้ทำหน้าตาห่อเหี่ยวเมื่อต้องไปเจอแม่สามี กลัวหรืออย่างไร?”
มีคนในวังห้อมล้อมรอบกายเขา แต่ละคนต่างเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเย่ซิวตู๋หยอกล้อนาง
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ อวี้ชิงลั่วก็ผ่อนคลายลงมาก และอดไม่ได้ที่จะตอบว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ประเดี๋ยวองค์ชายต้องกล่าวถึงเรื่องดี ๆ ของข้าต่อหน้าเหนียงเหนียง เพื่อสร้างความประทับใจที่ดีให้กับเหนียงเหนียง”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” เย่ซิวตู๋ตอบกลับคำแนะนำนั้นอย่างเรียบง่าย
อวี้ชิงลั่วแทบจะกระอักเลือดออกมา เปลือกตาของนางกระตุก
สาวใช้และขันทีที่รอเขาก้มศีรษะเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงประตูตำหนักอี๋ซิ่ง แต่มีขันทีที่ไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ข้างนอก
เมื่อเห็นพวกเขาก็รีบก้าวเข้ามาก้มศีรษะทักทาย แล้วพูดเสียงแผ่วว่า “เหนียงเหนียงรับสั่งให้กระหม่อมรอองค์ชาย… และองค์หญิงอยู่ที่นี่ เหนียงเหนียงรับสั่งว่าสองวันที่ผ่านมา พระองค์เป็นหวัดเพราะอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น อีกทั้งองค์ชายก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้วย จึงเกรงว่าองค์ชายจะรับเชื้อหวัดไปด้วย องค์ชายเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมานาน และยังได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย สิ่งสำคัญคือควรเสด็จกลับจวนโดยเร็วที่สุด เพื่อพักผ่อนและดูแลร่างกายให้ดี ไม่จำเป็นต้องห่วงที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงทันที แล้วมองขันทีตรงหน้าเขาที่กำลังพูดตะกุกตะกัก ขณะตัวสั่นเทาราวตะแกรงร่อนแป้ง
อวี้ชิงลั่วก็นึกเย้ยหยันเช่นกัน แม้แต่คนที่มาส่งข้อความให้ก็เป็นขันทีหนุ่มคนใหม่ เหมิงกุ้ยเฟยจงใจทำให้เย่ซิวตู๋อับอาย
นางขบกรามแน่นขณะค่อย ๆ ถอนหายใจ จากนั้นหันไปสบตากับเย่ซิวตู๋ แล้วก้าวเข้าไปพูดว่า “เนื่องจากเหมิงกุ้ยเฟยกำลังทุกข์ทรมานเพราะลมและความหนาวเย็น เช่นนั้นข้าจะเข้าไปตรวจดู แม้องค์หญิงผู้นี้จะหาได้มีพรสวรรค์ไม่ แต่ก็ไม่เป็นอะไร หากจะตรวจอาการหวัดเพราะลมและความหนาวเย็นให้เหนียงเหนียง องค์ชายซิวได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจะรออยู่ข้างนอกสักพัก แล้วข้าจะเข้าไปดูเอง”
ขันทีตกตะลึง เมื่อเขากลับมาได้สติ อวี้ชิงลั่วก็เดินเข้าไปในตำหนักอี๋ซิ่งแล้ว
เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเขาทันที “องค์หญิง องค์หญิงโปรดหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างงามอีกร่างก็รีบเดินออกมาจากข้างใน
คนผู้นั้นเดินตรงมาข้างหน้าอวี้ชิงลั่ว แล้วทักทายนาง “หม่อมฉันเฟยเกอ ถวายบังคมองค์หญิงเทียนฝูเพคะ”
“เฟยเกอ ไม่เจอกันนานเลยนะ” อวี้ชิงลั่วหยุดเดิน แล้วมองนางด้วยรอยยิ้มอ่อน
เฟยเกอหัวเราะแล้วพูดว่า “เหนียงเหนียงทรงพักผ่อนแล้ว หม่อมฉันทราบว่าองค์หญิงมีความปรารถนาดี แต่เป็นเพียงว่าเหนียงเหนียงเพิ่งรับยาจากหมอหลวง ดังนั้นจึงไม่ดีแน่หากต้องปลุกพระองค์ขึ้นมาในตอนนี้ องค์หญิงช่างกตัญญู ทว่าวันพรุ่งนี้ ค่อยกลับมาทำการวินิจฉัยอาการประชวรของเหนียงเหนียงได้หรือไม่เพคะ?”
นี่เป็นเรื่องหยาบคายมาก อวี้ชิงลั่วหรี่ตายกยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็ต้องมาวันหลัง แต่ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ข้าจึงไม่อาจมาได้ หากเป็นวันมะรืน อาการป่วยของเหนียงเหนียงก็คงจะหายดีแล้ว ข้าจะมาหรือไม่มาก็คงไม่สำคัญ”
ใบหน้าของเฟยเกอเปลี่ยนไป นางไม่คิดว่าน้ำเสียงของอวี้ชิงลั่วจะแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ มันดูไม่สุภาพมาก และมีนัยของการท้าทายเหนียงเหนียงอยู่ในนั้น
แต่นางไม่อาจพูดอะไรมากได้ นางจึงทำได้เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นอวี้ชิงลั่วก็มองไปยังประตูที่ปิดอยู่อย่างมีความหมาย แล้วหันหลังเดินออกจากตำหนักอี๋ซิ่ง
เฟยเกอมาทักทายเย่ซิวตู๋ ก่อนส่งพวกเขาไปที่ประตูตำหนักอี๋ซิ่งด้วยตัวเอง แล้วหันหลังเดินกลับไป
อวี้ชิงลั่วพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วไปยังห้องตำราของฮ่องเต้กับเย่ซิวตู๋
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงกระซิบอยู่ไม่ไกล
“เหนียงเหนียงยังให้องค์ชายเจ็ดเข้าเฝ้าอยู่ข้างในไม่ใช่หรือ? เหตุใดองค์ชายซิวเสด็จมาแล้วต้องเสด็จกลับเลย?”
“ชู่ว พูดเบา ๆ หน่อย เรื่องของเจ้านาย พวกเราจะไปสนใจเยอะได้อย่างไร?”
สีหน้าของสาวใช้และขันทีรอบกายเย่ซิวตู๋เปลี่ยนไปทั้งหมด พวกเขาเม้มปากไม่กล้าเอ่ยคำใดแม้สักคำ และเดินเร็วขึ้น
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วมองเย่ซิวตู๋ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่พวกเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
เหมิงกุ้ยเฟยไม่อาจรอได้อีกต่อไป นางจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาอย่างเปิดเผย นางไม่ต้องการโจมตีอย่างซ่อนเร้นด้วยซ้ำ
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หลังจากที่พวกเขาจากมาไม่นาน เหมิงกุ้ยเฟยก็โยนถ้วยชาที่นางกำไว้ในมือทิ้งทันที
เฟยเกอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ มีเพียงองค์ชายเจ็ดเย่ฮ่าวถิงที่อยู่ข้าง ๆ คอยเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบา “เหตุใดหมู่เฟยต้องโกรธพวกเขาด้วยเล่าพะยะค่ะ?”
“นางหญิงไร้หัวนอนปลายเท้านั่น บังอาจมาหยามเปิ่นกงถึงหน้าประตูตำหนัก” เหมิงกุ้ยเฟยมีสีหน้าซีดเซียว แม้มองจากระยะไกลก็ยังเห็นว่านางยังคงซีดเซียว เมื่อเทียบกับไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ร่างกายของนางซูบผอมลงเพราะน้ำหนักลดลงไปมาก
“หมู่เฟยเคยบอกว่านางเป็นเพียงผู้หญิงโง่เขลา หากท่านสนใจนาง จะไม่ถือว่าหมู่เฟยลดตัวลงไปหรือขอรับ?” เย่ฮ่าวถิงรีบรินน้ำอีกแก้วให้นาง แล้วพูดเสียงเบาว่า “เมื่องานใหญ่ของเราเสร็จสิ้น หมู่เฟยจะทำอะไรกับนางก็ย่อมได้นะขอรับ”
“เปิ่นกงจะหั่นนางเป็นชิ้น ๆ ให้สาสมกับความเคียดแค้นในใจของเปิ่นกง” เหมิงกุ้ยเฟยพูดแล้วจับมือเย่ฮ่าวถิง ริมฝีปากของนางสั่นเทา “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา พี่ชายของข้า พี่ชายของข้าก็จะได้…”
เย่ฮ่าวถิงเม้มปากแน่น ความจริงตอนที่เขารู้ว่าเหมิงจื้อเฉิงวางแผนจะขึ้นเป็นประมุขเผ่ามองโกเลีย เขาไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก
ทว่าหมู่เฟยและลุงของเขาได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขา
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายเรื่องจะลงเอยเช่นนี้
ทุกครั้งที่เย่ฮ่าวถิงคิดถึงเรื่องนี้ เขาจะค่อนข้างรู้สึกวิตกกังวล เพราะกลัวว่าเรื่องของตัวเองจะไม่สำเร็จ
เมื่อคิดว่าเย่ซิวตู๋มีหมอปีศาจ องค์ชายใหญ่และคนอื่น ๆ อยู่เคียงข้างเขา และตัวเย่ซิวตู๋เองก็เป็นคนฉลาด หากเขาล้มเหลวด้วยละก็…
เขารีบส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป และทำได้เพียงปลอบโยนเหมิงกุ้ยเฟยด้วยเสียงแผ่วเบา
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วกลับมาที่ห้องตำราของฮ่องเต้แล้ว พวกเขาบอกเพียงว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่สบาย และบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อนก่อน
ไม่มีการกล่าวถึงเรื่ององค์ชายเจ็ดกำลังเข้าเฝ้าในตำหนักอี๋ซิ่ง
แต่ฮ่องเต้ไม่ได้โง่เขลา เมื่อองค์ชายเจ็ดเข้ามาในวังแล้ว ก็ย่อมมีคนมารายงาน เมื่อเห็นเย่ซิวตู๋ไปเสียเที่ยวเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่พอใจมาก
ซิวเอ๋อร์ยังคงบาดเจ็บอยู่ ไม่ว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะเป็นเช่นไร นางก็ควรต้อนรับให้เขาเข้าไปเพื่อถามถึงสถานการณ์
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นเย่ซิวตู๋ช่วยแก้ตัวให้หมู่เฟยอีกครั้ง เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์แทนเย่ซิวตู๋มากกว่าเดิม
เมื่อมีคนยกอาหารมาให้ ทุกคนก็รับประทานอาหารเย็นกันอย่างเพลิดเพลิน
กว่าจะรับประทานเสร็จก็ค่ำเสียแล้ว
เย่ซิวตู๋ยังคงออกมาด้วยเกี้ยวนุ่ม ๆ แต่เขาไม่ได้ยินอวี้ชิงลั่วพูดเลยจนกระทั่งถึงประตูวัง เขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย จึงถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือเไม่?”
อวี้ชิงลั่วชำเลืองมองเขาด้วยความลำบากใจ สีหน้านางดูไม่ค่อยดีนัก
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
กุ้ยเฟยรู้ข่าวพี่ชายตายแล้วจะบ้าดีเดือดหรือเปล่านะ น่ากลัวจริงผู้หญิงคนนี้
ไหหม่า(海馬)