อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 929 หนานหนานที่โกรธเกรี้ยว
ตอนที่ 929 หนานหนานที่โกรธเกรี้ยว
ตอนที่ 929 หนานหนานที่โกรธเกรี้ยว
อวี้เป่าเอ๋อร์ตะลึง “พรุ่งนี้หรือ?”
“อืม”
“แต่ว่า…” อวี้เป่าเอ๋อร์ลังเล “ที่นั่นมีองค์ชายสี่คอยจับตาดูอยู่ เราจะเข้าไปตามใจไม่ได้หรอก”
หนานหนานเลิกคิ้ว ส่งเสียงคำราม “แต่ข้าเข้าไปได้”
สีหน้าอวี้เป่าเอ๋อร์เต็มไปด้วยความงุนงง หนานหนานกลับไม่คิดจะกล่าวอันใดมาก ดูเวลาก็เห็นว่าดึกแล้ว รีบผลักเขาไปล้างหน้าแปรงฟัน
“เอาล่ะๆ เรารีบเข้านอนกันหน่อยดีกว่า พรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า”
อวี้เป่าเอ๋อร์ยังคงมีเรื่องอยากพูดกับเขา แต่กลับถูกเขาผลักมาจนถึงห้องอาบน้ำแล้ว เขาจึงถอนหายใจ ทำได้เพียงไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า
เช้าวันต่อมา หนานหนานก็ตื่นแต่เช้าจริงๆ ไปที่ลานบ้านอย่างมีชีวิตชีวา กระโดดสองครั้งและใช้โอกาสฝึกฝนการต่อยตีไปชุดหนึ่ง
จากนั้นก็ไปกินอาหารเช้าอย่างกระชุ่มกระชวย ให้พ่อบ้านเตรียมม้า เตรียมตัวออกไปข้างนอก
อวี้ชิงลั่วรู้ว่าเขาจะไปที่จิ่นเฉิงย่วนก็ไม่ได้ไปบังคับกะเกณฑ์อันใด เพียงแต่ให้โม่เสียนและเผิงอิงตามหลังเขาไป
ส่วนนางเองก็เข้าวังไปพร้อมกับเย่ซิวตู๋แต่เช้า ไปตรวจดูอาการของฝ่าบาทอย่างเงียบๆ
เดิมทีหนานหนานยังคิดจะชวนท่านแม่ของตนไปด้วย แต่นึกถึงอาการของเสด็จปู่ ก็รู้สึกว่าท่านแม่ไปพบเสด็จปู่จะสำคัญกว่า จึงไม่ได้กล่าวอันใดมากมาย ตนก็ลากอวี้เป่าเอ๋อร์ขึ้นรถม้าไป
จิ่นเฉิงย่วนอยู่ไม่ไกลจากกลางเมืองมากนัก ห่างจากตัวเมืองหน่อย แต่พื้นที่กลับใหญ่มาก
อดีตองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ถึงแม้จะบอกว่าถูกคุมขังไว้ในจิ่นเฉิงย่วน จริงๆ ก็เป็นเพียงมุมหนึ่งที่ห่างไกลในจิ่นเฉิงย่วนเท่านั้น พื้นที่ไม่ใหญ่เลย
หนานหนานออกเดินทางจากตำหนักอ๋องซิว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงจิ่นเฉิงย่วน
โม่เสียนนั่งอยู่บนแอกหน้ารถ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็กล่าวกับหนานหนาน “ทางด้านนั้นคือจิ่นเฉิงย่วน”
หนานหนานและอวี้เป่าเอ๋อร์ยกม่านรถขึ้น มองไปยังทหารยามที่ยืนตัวตรงเฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ของจิ่นเฉิงย่วน
อวี้เป่าเอ๋อร์กังวลเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของหนานหนานแล้วกล่าว “ดูท่าทางพวกเขา เหมือนว่าเป็นคนไม่มีเหตุผลเลย จะยอมให้พวกเราเข้าไปหรือ?”
หนานหนานยังไม่ทันตอบ รถม้าก็หยุดเสียแล้ว เผิงอิงเปิดม่านรถม้าแล้วอุ้มทั้งสองคนลง
ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่นั้น เพียงเห็นรถม้าเข้ามาใกล้ก็ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นก็เห็นพวกเขากำลังเดินตรงมา สีหน้าเริ่มตึงเครียด เดินถือหอกเดินเข้าไปหา “ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้ามาใกล้ รีบออกไปจากตรงนี้เสีย”
หนานหนานเอียงคอ มองเข้าไปข้างในอยู่ครู่หนึ่ง
ทหารยามผู้นั้นมาขวางหน้าเขาไว้ทันที กล่าว “ยังไม่ไปอีกหรือ ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญของราชวงศ์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?”
กล่าวจบก็มองไปยังโม่เสียนและเผิงอิงที่ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน สีหน้าเย็นชาขึ้นมาก กล่าวดุ “ยังไม่พาลูกของพวกเจ้าไปจากที่นี่อีก อยากตายจริงๆ ใช่หรือไม่”
โม่เสียนและเผิงอิงสบตากัน จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วกล่าว “นายน้อยของพวกข้าต้องการพบเฉิงซื่อจื่อ”
ทหารยามผู้นั้นชะงัก จากนั้นก็สบตากับทหารยามอีกคนหนึ่ง รู้สึกว่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไร้สาระจริงๆ เฉิงซื่อจื่อเป็นคนที่พวกเจ้าพูดว่าอยากพบก็พบได้เลยหรือ พวกเจ้าเป็นใครกัน ไม่รู้หรือว่าคนที่อยู่ที่นี่เป็นใคร?”
“พวกข้ารู้” หนานหนานกล่าว จากนั้นก็เดินหน้าไปสองสามก้าว
ทหารยามผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้า รีบถอยหลังไปสองสามก้าว ยกหอกขึ้นมาชี้หน้าเขาแล้วกล่าว “หากยังเข้ามาอีก ข้าจะทำให้เจ้าได้หลั่งเลือดเป็นแน่”
โม่เสียนขมวดคิ้ว ยืนขวางตรงหน้าหนานหนานแล้วกล่าว “กล้าดีอย่างไร?”
“ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของข้า ที่นี่คือจิ่นเฉิงย่วน ไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรือร้านสุราข้างนอก หากไม่มีรับสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้า ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกจัดการทันที” ทหารยามผู้นั้นกล่าวเช่นนั้นออกมาก็ดูภูมิใจเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง
หนานหนานพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่ด้านหลังเขาแล้วกล่าว “ในเมื่อห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เช่นนั้นพวกเขาเข้าไปได้อย่างไร”
ทหารยามผู้นั้นอึ้งไป หันกลับไปมองแวบหนึ่งก็เห็นเย่หลานเวยและเย่หลานหลี่ ก่อนเม้มปาก
ต่อจากนั้นก็หันหน้ากลับมาทันที กล่าวเยาะเย้ยหนานหนาน “นั่นคือเวยซื่อจื่อและหลี่ซื่อจื่อ เป็นซื่อจื่อขององค์ชายสามและองค์ชายสี่ จะเหมือนคนทั่วไปได้อย่างไร อย่างเจ้าน่ะเทียบไม่ได้หรอก”
กล่าวจบก็ไม่สนใจหนานหนานอีก วิ่งไปตรงหน้าของเย่หลานเวยและเย่หลานหลี่ ทำความเคารพ ถึงขนาดเผยรอยยิ้มที่ประจบสอพลอเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้าน้อยขอคารวะซื่อจื่อทั้งสองท่าน ซื่อจื่อทั้งสองท่านพูดคุยกับเฉิงซื่อจื่อเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ”
หนานหนานชี้ไปที่ทหารยามแล้วกล่าวกับโม่เสียน “ท่านลุงโม่ คนขององค์ชายสี่ล้วนชอบประจบคนใหญ่โตและกดขี่คนด้อยกว่าทุกคนเลยหรือ?”
โม่เสียนหัวเราะออกมา “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
หนานหนานกำลังคิดจะพยักหน้า แต่ก็ได้ยินเสียงอันเย่อหยิ่งของเย่หลานเวยดังมาแต่ไกล “คุยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราสองคนตักเตือนเย่หลานเฉิงอย่างรุนแรงไปแล้ว ว่าต่อไปให้เขาเชื่อฟังหน่อย เฮอะ เมื่อก่อนเห็นว่าตนพูดนั่นพูดนี่กับเสด็จปู่ได้ จึงไม่เห็นข้าในสายตา ตอนนี้ข้ามาตักเตือนเขาทุกวัน เขาจะได้ไม่ทำตัวไม่รู้สถานะของตน คิดว่าบิดาตนยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ หึ”
เย่หลานหลี่ข้างๆ กันก็หัวเราะออกมา “เวยซื่อจื่อของเราเก่งกาจนัก เช่นนี้แล้ว การมาลอบกัดเขาทุกวันถือว่ามีประโยชน์มากนัก ตอนนี้เขาเห็นพวกเราก็กลัวเสียแล้ว วันนี้หลานเวยเห็นเขากำลังกินข้าวอยู่ รู้สึกว่าเขานั้นไม่คู่ควรจะได้กินอาหารดีๆ เช่นนั้น จึงนำน้ำแกงเทราดหัวเขาเสีย จิ๊ๆ เฉิงซื่อจื่อของเรายังไม่กล้าพูดอันใดสักคำ”
เย่หลานเวยหรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา โบกมือแล้วกล่าว “โธ่ นี่เป็นผลงานของเราทั้งคู่ต่างหาก ประเด็นคือให้เขารู้จักสถานะตนเอง พรุ่งนี้เราจะมากันใหม่ ดูสิว่ายังมีวิธีไหนจัดการเขาได้อีก ข้าจะทำให้เขามาคุกเข่าร้องไห้ขอความเห็นใจต่อหน้าข้าให้ได้”
ทหารยามผู้นั้นได้ยินพวกเขากล่าวเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าว “ซื่อจื่อทั้งสองช่างฉลาดและเก่งกาจนักขอรับ ในโลกนี้มีบางคนที่ไม่รู้จักฐานะของตนเอง พวกท่านก็หวังดีต่อเฉิงซื่อจื่อ ต่อไปเขาจะได้ไม่ทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าว่าแต่ออกไปทำให้ผู้อื่นต้องขุ่นเคืองเลย แต่จะทำให้ซื่อจื่อทั้งสองต้องเสียชื่อไปด้วยน่ะสิขอรับ”
ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นยืนฟังคำเหล่านี้อยู่นิ่งๆ
โม่เสียนและเผิงอิงตกใจ ในใจแอบร้องตะโกนว่าท่าไม่ดีแล้ว ก้มหน้าลงไปมองก็เห็นหนานหนานโกรธเกรี้ยวเสียจนใบหน้าเปลี่ยนสี มือเล็กๆ นั้นกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนนั้นเริ่มกระตุกอย่างรุนแรง
โม่เสียนรีบดึงรั้งเขาไว้ “หนานหนาน เราใจเย็นกันหน่อยเถิด”
ดวงตาของหนานหนานเจ็บปวด เขาไม่รู้เลยว่าเสี่ยวเฉิงเฉิงจะถูกรังแกเช่นนี้ รู้สึกเหมือนว่าในอกมีลูกไฟที่พลุ่งพล่านอยู่ พลุ่งพล่านเสียจนร่างกายของเขาแทบเผาไหม้
ทันใดนั้นเขาก็สะบัดมือของโม่เสียน เดินไปทางด้านเย่หลานเวยสองสามคนนั้นทีละก้าว
เย่หลานเวยทางด้านนั้นกลับยังพูดคุยเหมือนยังไม่หนำใจ ยังคงกล่าวอย่างพึงพอใจ “แสดงว่าข้าเองก็เห็นแก่หน้าตาของราชวงศ์ ใครจะเทียบได้…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ ก็รู้สึกถึงเงาที่ทอดตัวอยู่ด้านหน้า
ทหารยามทั้งสองคนนั้นเองก็รู้สึกได้ เมื่อเหงยหน้าไปมองก็เห็นหนานหนานและคนอื่นๆ เดินมาตรงหน้าพวกเขาแล้ว มุ่นคิ้วขึ้นมาทันที “เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ยังไม่รีบไสหัวไป ระวังข้าจะ…”
“หนานหนาน!!” จู่ๆ เย่หลานเวยกลับตะโกนเสียงดัง ถอยเท้าไปอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พวกเจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร ไม่รู้เหรอว่าหนานหนานลูกใคร?
มาทำร้ายสหายคนสนิทของน้อง น้องยอมไม่ได้
ไหหม่า(海馬)