อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 930 นี่คือซื่อจื่อน้อยของตำหนักอ๋องซิว
ตอนที่ 930 นี่คือซื่อจื่อน้อยของตำหนักอ๋องซิว
ตอนที่ 930 นี่คือซื่อจื่อน้อยของตำหนักอ๋องซิว
ทหารยามสองคนนั้นกลับผงะไป ไม่เข้าใจเท่าไรนัก “เวยซื่อจื่อรู้จักคนผู้นี้หรือขอรับ?”
เย่หลานเวยถอยเท้าไปก้าวเล็กๆ เมื่อเห็นสีหน้าราวกับจะกินคนของหนานหนาน รวมไปถึงกำปั้นเล็กๆ ที่ส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ข้างกายเขา แล้วหวนนึกถึงสิ่งที่ตนกล่าวเมื่อครู่ก็อ้าปากค้างไป รีบดึงเย่หลานหลี่ถอยเท้ากลับมาด้วย กล่าวกับทหารยามสองคนนั้น “ขวางเขาไว้ ขวางเขาไว้ ขวางไว้ๆ”
เขาตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพตอนที่หนานหนานแอบเข้าไปในห้องเขาและทุบตีเขา คำพูดก็ไม่ลื่นไหลอีกต่อไปแล้ว
ต้องบอกว่าเย่หลานเวยเป็นคนไม่สนกฎหมายหรือกฎสวรรค์ สร้างปัญหาไปทุกที่ แต่เมื่อมาพบคนที่ไม่สนกฎยิ่งกว่าอย่างหนานหนาน ทั้งยังมีฝีมือดีกว่าเขา ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และฉลาดเฉลียว เขาก็รู้สึกหวาดกลัวไปทั่วสรรพางค์
ทหารยามทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล่าวอันใด รีบมาขวางตรงหน้าเย่หลานเวยทันที ยื่นมืออกมาจับคอเสื้อของหนานหนาน
หนานหนานเอียงตัวหลบเขามายืนอยู่ตรงหน้าเย่หลานเวย แล้วคว้าแขนของเขาทันที
รูม่านตาของทหารยามหดลง หอกในมือของเขาพุ่งไปทางหนานหนาน
แต่แทงไปได้เพียงครึ่งทางก็ถูกเผิงอิงคว้าเอาไว้แล้วโยนทิ้งไปด้านข้างอย่างแรง
ทหารยามเปลี่ยนสีหน้าไป รู้ว่าสองคนตรงหน้าเป็นคนมีวิชาก็พลันตะโกนด้วยความโกรธ “พวกเจ้าช่างกล้านัก ยังไม่ปล่อยเวยซื่อจื่ออีกหรือ? จับตัวซื่อจื่อทั้งยังบุกเข้าจิ่นเฉิงย่วน ถือเป็นความผิดร้ายแรง”
น้ำเสียงของเขาดังขึ้นอย่างจงใจ ดังไปถึงทหารยามที่กำลังเดินลาดตระเวนจิ่นเฉิงย่วนอยู่ ในเวลาครู่เดียวก็มีสิบกว่าคนพากันวิ่งเข้ามา
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทุกคนต่างยื่นหอกเล็งไปทางกลุ่มหนานหนาน
อวี้เป่าเอ๋อร์เม้มปาก พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมหัวใจของตนที่กำลังเต้นแรง ยืนอยู่ตรงหน้าหนานหนานราวกับกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ
โม่เสียนหรี่ตา กล่าวเสียงเย็น “ช่างกล้านัก นี่คือซื่อจื่อน้อยจากตำหนักท่านอ๋องซิว พวกเจ้ากล้าลงมือกับเขา แสดงว่าอยากตายใช่หรือไม่?”
ซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักท่านอ๋องซิวหรือ?
ตำหนักท่านอ๋องซิวหรือ?
ท่านอ๋องซิวหรือ?
ทุกคนมองหน้ากันครู่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหนานหนานที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร แต่ทุกคนล้วนรู้จักท่านอ๋องซิว ข่าวลือเกี่ยวกับบุตรชายของท่านอ๋องซิว…ทุกคนก็รู้เช่นกัน
หรือว่าเด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า จะเป็นคนที่ถูกลือกันหนาหูว่าอายุน้อยนิดแต่วิชาต่อสู้สูงส่ง ทั้งยังฉลาดเฉลียว และเป็นบุตรชายของเย่ซิวตู๋และองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานอย่างนั้นหรือ?
นี่…นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
ไม่สิ ได้ยินว่าเมื่อวานท่านอ๋องซิวกลับมาแล้ว เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้จริงๆ ว่า…
ในตอนนั้นทุกคนต่างลังเลขึ้นมา มองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางเช่นก่อนหน้านี้ที่เหมือนจะเข้าโจมตีคนเขาแล้ว
โดยเฉพาะทหารยามที่เฝ้าประตูใหญ่สองคนก่อนหน้านี้ก็พากันเหงื่อตก
แต่เหมือนว่ายังคงไม่อยากยอมรับ จึงหันหน้าไปมองทางด้านเย่หลานหลี่ราวกับหวังว่าจะยืนยันตัวตนของหนานหนานจากสีหน้าของเขา
แต่เย่หลานหลี่ก็เหมือนกับเย่หลานเวย มีความหวาดกลัวต่อหนานหนานอย่างอธิบายไม่ถูก ตอนนี้ไปหลบอยู่อีกด้านแล้ว แม้แต่ความปลอดภัยของเย่หลานเวยก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
ส่วนเย่หลานเวยก็เริ่มกรีดร้องออกมา “อวี้ฉิงหนาน เจ้าจะทำอะไร ปล่อยนะ ปล่อย เจ้าทำข้าเจ็บแล้ว”
หนานหนานไม่สนใจเขา มือที่จับแขนของเขานั้นบีบแน่นขึ้นไปอีก
เขาหันหน้ามองไปทางทหารยามผู้นั้น ถามคำถามก่อนหน้าอีกครั้ง “ไหนเจ้าบอกว่าไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าจิ่นเฉิงย่วนตามอำเภอใจไม่ใช่หรือ? เหตุใดไอ้คนชั่วสองคนนี้จึงเข้าไปได้เล่า?”
ไอ้คนชั่วหรือ???
ทหารยามผู้นั้นตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ เห็นเย่หลานเวยถึงแม้จะกำลังร้องตะโกนอยู่ โกรธเสียจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่คนที่หยิ่งผยองเอาแต่ใจมาโดยตลอด ตอนนี้กลับไม่ได้จะขู่ตีขู่ฆ่าเหมือนที่เขาเคยทำจนเป็นนิสัยแล้ว ฟังจากที่เขากล่าว ก็เห็นได้ชัดว่ารู้จักกัน
ยังมีเย่หลานหลี่ที่มีท่าทางกลัวหนานหนานอย่างมากราวกับเห็นผี ไม่เพียงแต่ไม่เหลือท่าทางเย่อหยิ่งของซื่อจื่อ แม้แต่จะคิดบัญชีก็ยังไม่กล้า ราวกับว่าหนานหนานสามารถกำหนดความเป็นตายของเขาได้อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ไม่ว่าทหารยามจะไม่รู้ความเพียงใด แต่ก็รู้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนที่ตนไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
เขารีบยิ้มแล้วกล่าวเบาๆ “พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาขอรับ พวกเขาเป็นซื่อจื่อขององค์ชายสามและองค์ชายสี่ คือว่า ที่จิ่นเฉิงย่วนนี้มีองค์ชายสี่คอยควบคุม ก็ย่อม ก็ย่อม…”
“ก็ย่อมอะไรกัน นี่เจ้าหมายความว่า ขอเพียงองค์ชายสี่เห็นด้วย จะหมาจะแมวที่ไหนก็เข้าไปได้อย่างนั้นหรือ?”
เย่หลานเวยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็เด้งตัวขึ้น “หมาแมวอะไรกัน เจ้าบอกว่าใครเป็นหมาแมว ข้าเป็นซื่อจื่อนะ เจ้าเอาข้าไปเทียบกับหมาแมวหรือ?”
“เจ้าหุบปากเสีย เมื่อครู่ที่เจ้าพูด ข้าได้ยินชัดเจนทั้งหมด เจ้ารังแกเสี่ยวเฉิงเฉิง อีกเดี๋ยวข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าแน่ หากเจ้ายังมาพูดไร้สาระอยู่ที่นี่ ข้าจะขยี้เจ้าให้ตาย”
“เจ้า เจ้า เจ้า…” เย่หลานเวยคิดจะตอบโต้ คิดจะทำให้หนานหนานต้องสำลักบ้าง แต่ก็พบว่าดวงตาของหนานหนานที่จ้องมองราวกับจะกลืนกินเขาเสีย ท่าทางของหนานหนานเช่นนั้นที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจก็สับสนทันที ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
แต่เมื่อหันหน้ามาก็เห็นคนไม่น้อยยืนล้อมรอบอยู่ รู้สึกว่าขายหน้าเล็กน้อย จึงพึมพำออกมาอย่างไม่ยอมรับ “ขยี้ข้าให้ตายหรือ? หึ อย่างไรข้าก็เป็นซื่อจื่อ เจ้าคิดจะขยี้ก็ทำได้ตามใจหรือ?”
หนานหนานส่งเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจเขา หันหน้ามามองทหารยามผู้นั้น
ทหารยามผู้นั้นเหงื่อตกเต็มหน้าผากในทันที แม้แต่จะเช็ดก็ยังไม่กล้า
ทำได้เพียงอ้ำอึ้ง กล่าวเบาๆ “ข้า ข้าหมายความว่า พวกเวยซื่อจื่อนั้นมา มาพบองค์ชายสี่ขอรับ อย่างไรเสียที่นี่ก็มีองค์ชายสี่คอยคุมอยู่ ดังนั้น ดังนั้น…”
“อ้อ” หนานหนานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นข้าก็ต้องเข้าไปหาคนเช่นกัน หาเย่หลานเฉิง เฉิงซื่อจื่อ มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“คือ คือเฉิงซื่อจื่อเป็นผู้มีความผิด ไม่ ไม่สามารถ ไม่สามารถพบได้ตามใจขอรับ”
หนานหนานอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้าเขาจริงๆ โม่เสียนเห็นเขาจับเย่หลานเวยไว้มือหนึ่ง ขณะเดียวก็ก็อยากจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนทหารยามผู้นั้น ดูยุ่งจนไม่สามารถทำได้ จึงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเตะทหารยามผู้นั้นเสีย
“เจ้าบอกว่าใครเป็นผู้มีความผิด?”
ทหารยามผู้นั้นตะลึงไป จากนั้นก็ตระหนักในสิ่งที่ตนกล่าว คำสั่งของฝ่าบาทคือให้คุมขังองค์รัชทายาท เฉิงซื่อจื่อยังสามารถเข้าออกจิ่นเฉิงย่วนได้ เฉิงซื่อจื่อนั้นไม่ใช่…นักโทษ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับฟ้าจะถล่ม ตนกล่าวอันใดออกไปกัน?
ทหารยามข้างกายสองสามคนนั้นชำเลืองมองกันและกัน ต่างก็ไม่ออกหน้า แต่กลับก้าวถอยหลังอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ อยากจะผลักคนข้างกายของตนออกไป
หนานหนานเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเย็น “ตอนนี้ข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
เขากล่าว ยกเท้าจะก้าวไปข้างหน้า
“ไม่… ไม่ได้” เย่หลานเวยรีบจับเขาเอาไว้ ใบหน้าขาวซีด เขาคิดได้ว่าหลายวันนี้ตนรังแกเย่หลานเฉิงไป ด้วยความสัมพันธ์ของหนานหนานและเย่หลานเฉิง ถ้าหากพวกเขาได้พบกัน เย่หลานเฉิงจะต้องบอกเขาเป็นแน่ ถึงตอนนั้นหนานหนานจะต้องไม่ปล่อยตนไปแน่นอน
ดังนั้นจะให้พวกเขาพบกันไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าเข้าไปไม่ได้ ถ้าหากเจ้าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านลุงจะต้องจับเจ้าแน่ ข้า ข้าจะบอกให้นะ เจ้าห้าม…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ ผ้าไหมสีทองวาววับผืนหนึ่งก็ถูกกางออกตรงหน้าขา ด้านหน้าเขียนเอาไว้ว่า ‘ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา’ ส่องประกายสะท้อนเข้ามาในตาและใบหน้าของเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รังแกเป็นแต่คนอ่อนแอกว่าเท่านั้นแหละนะ พอมาเจอของจริงถึงกับไปไม่เป็นเลย
ไหหม่า(海馬)