อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 932 นี่คือนายน้อยคนไหน
ตอนที่ 932 นี่คือนายน้อยคนไหน
ตอนที่ 932 นี่คือนายน้อยคนไหน
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรขอรับ อย่าไปยุ่งกับคนเช่นนี้เลย” เย่หลานเฉิงเสียงเบา เห็นอยู่ว่าบนเส้นผมยังมีใบผัก เห็นๆ อยู่ว่าบนเสื้อผ้ายังมีน้ำมันเยิ้ม เขากลับเหมือนไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น รอยยิ้มช่างปลอบโยนใจคนได้อย่างมาก
ไท่จื่อเฟยแทบจะร้องไห้ออกมา จากนั้นก็คุกเข่าลงช้าๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้เขา “เฉิงเอ๋อร์ เป็นพ่อกับแม่เองที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
เย่หลานเฉิงส่ายหน้า มือน้อยๆ จับมือของนางไว้แน่น เงยหน้ามองหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงประตูแวบหนึ่ง จากนั้นก็โน้มตัวไปทางหูของไท่จื่อเฟย กล่าวเบาๆ “ท่านแม่ ท่านเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือ สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คืออดทน ข้าไม่มีความสามารถอื่น แต่การอดทนยังพอทำได้อยู่ขอรับ”
ทันใดนั้นไท่จื่อเฟยก็นึงถึงสถานการณ์เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ที่เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในวังหลวง หัวในของนางก็บีบรัดในทันใด ราวกับว่ากลิ้งอยู่ในกระทะร้อนอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านแม่ ท่านอย่าเศร้าใจไปเลย ข้าไม่ได้รู้สึกทุกข์ยากอันใด มีท่านแม่อยู่เคียงข้าง ความคับข้องใจนี้ก็ไม่มีผลอันใด รอจนวันหนึ่งในอนาคต หากข้าเข้มแข็ง เก่งกาจ ก็จะปกป้องท่านแม่ได้แล้วขอรับ”
ไท่จื่อเฟยร้องไห้อย่างหนัก เหตุใดบุตรชายของนางจึงรู้ความเพียงนี้ เชื่อฟังเพียงนี้ แต่ทว่า… กลับถูกองค์รัชทายาททำให้ต้องลำบากจนกลายเป็นเช่นนี้
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ น้ำแกงนี้ไม่ร้อนเลย ราดลงบนหัวก็ไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ไม่อร่อยอยู่แล้ว” เย่หลานเฉิงอยากจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง แต่มือนั้นยังเปียกน้ำมันอยู่ ทั้งยังเลอะน้ำแกง ชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ชักมือกลับ
จู่ๆ ไท่จื่อเฟยก็คว้ามือน้อยๆ ของเขามาวางไว้บนใบหน้าของตน เงยหน้าขึ้น ที่ปลายตามีน้ำตาคลออยู่ แต่กลับหัวเราะออกมาแล้ว “เจ้าพูดถูก เฉิงเอ๋อร์ของข้าช่างรู้ความนัก แม่เองก็ควรจะทำเช่นกัน ต้องแข็งแกร่งขึ้น เราสองคนพึ่งพากัน ไม่นานก็จะมีวันหนึ่งที่เราจะไปจากที่นี่ได้”
“ขอรับ” เย่หลานเฉิงยิ้มออกมา
ไท่จื่อเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็จับมือเล็กๆ ของเขาอีกครั้งแล้วลุกขึ้นพลางกล่าว “เจ้ายังตัวเปียกอยู่ หากไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าจะต้องเป็นหวัดแน่ๆ พวกนางไม่ตักน้ำให้เจ้า แม่จะตักน้ำให้เจ้าเอง”
หลิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้ว ดวงตาของนางฉายแววดูแคลน แต่ก็รู้สึกสุขสบายใจด้วย
ไท่จื่อเฟยตักน้ำด้วยตนเอง เช่นนั้นต่อไปนางก็ทำอาหารเองได้ ซักเสื้อผ้าเองได้ กวาดพื้นเช็ดโต๊ะเองได้แล้วใช่หรือไม่ จิ๊ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาใจปรนนิบัติรับใช้ตนเองได้อีกด้วยกระมัง
เพียงคิดถึงตรงนี้ หลิ่วเอ๋อร์เองก็พึงพอใจขึ้นมาเล็กน้อย นางได้ยินมาว่าพวกขันทีและนางข้าหลวงที่มีหน้ามีตาในวัง ต่อให้ตนเองเป็นข้ารับใช้ แต่เมื่อพบเหล่านายท่านที่ตำแหน่งไม่สูงนัก กลับต้องคอยประจบเอาใจพวกเขาเช่นกัน
อย่างเช่นว่าเหมียวกงกง เหมียวเชียนชิวที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ผู้นั้น นางคิดว่า ต่อไปอาจจะโชคดีได้รับใช้ไท่จื่อเฟย เฮอะ ถึงแม้จะเป็นไท่จื่อเฟยที่ถูกปลดแล้ว แต่เรื่องเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย
เย่หลานเฉิงได้ยินคำพูดของไท่จื่อเฟยก็ผงะไป เห็นนางหมุนตัวจะเดินจากไป คิดจะไปตักน้ำจริงๆ
เขารีบดึงแขนเสื้อของนางไว้ หางตาเห็นริ้วเรียวขางของนางแล้วทนไม่ได้เป็นอย่างมาก “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่าไปตักน้ำเลย ข้าไปล้างที่แม่น้ำอวี้หลานทางฝั่งตะวันออกก็ได้ขอรับ ท่านอย่าไปตักน้ำเลย”
“ไม่ได้ แม่น้ำอวี้หลานนั้นน้ำลึกมาก หากไม่ทันระวังแล้วตกลงไปจะทำอย่างไร” ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
นางกล่าวและไม่สนใจการขัดขวางของเย่หลานเฉิง ปัดมือของเขาออกไปแล้วรีบร้อนออกนอกประตู เดินตรงไปทางด้านบ่อน้ำ
เย่หลานเฉิงตกใจแล้วรีบตามไป เดินไปถึงประตูกลับถูกหลิ่วเอ๋อร์ขวางเอาไว้
“ไอ้หยา ซื่อจื่อน้อย ท่านอย่าคิดจะไปล้างที่แม่น้ำอวี้หลานเลยเจ้าค่ะ ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น จะทำให้พวกเราต้องลำบาก ข้าว่าปล่อยให้ท่านแม่ของท่านไปตักน้ำมาเสีย ข้าว่านางค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว”
เย่หลานเฉิงแววตาเฉียบคมขึ้น ยกเท้าขึ้นเหยียบนางครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงดัง “หลีกไป”
เขาโกรธเกรี้ยวอย่างมาก จนทำให้หลิ่วเอ๋อร์ผงะไป เมื่อนางได้สติกลับมา เย่หลานเฉิงก็ออกไปแล้ว นางกระทืบเท้าอย่างแรงครั้งหนึ่งแล้วรีบร้อนตามไป
เย่หลานเฉิงเพิ่งวิ่งมาถึงข้างบ่อน้ำ ก็เห็นไท่จื่อเฟยกำลังยกน้ำขึ้นอย่างยากลำบาก
บ่อน้ำนั้นไม่มีแม้แต่ลูกรอก ทำได้เพียงใช้มือดึงเชือกขึ้นมาทีละนิดๆ เท่านั้น
ไท่จื่อเฟยถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาโดยตลอด จะยกถังน้ำใหญ่เพียงนี้ไหวได้อย่างไร
เย่หลานเฉิงวิ่งมาถึงข้างกายนาง นางก็อดคลายมือไม่ได้ เชือกนั้นหลุดแล้วร่วงลงไปข้างล่าง ถังน้ำตกลงไปในบ่อน้ำอีกครั้ง ไท่จื่อเฟยรีบจับปลายเชือกเอาไว้ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เย่หลานเฉิงเห็นท่านแม่ของตนที่อ่อนโยนและอ่อนแอมาโดยตลอด มือเรียวยาวที่เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด ตอนนี้ถูกเชือกหยาบขูดเสียจนเป็นรอย ผิวถลอก ถึงขนาดมีเลือดซึมออกมา
“ท่านแม่”
“ไม่เป็นไร เอาใหม่อีกครั้ง” ไท่จื่อเฟยยิ้มให้เขา
เย่หลานเฉิงกัดฟัน “ท่านแม่ เรามาช่วยกัน หากดึงถังใบใหญ่ขึ้นมาไม่ได้ เช่นนั้นก็เอามาแค่ครึ่งถัง ถ้าหากมันยังหนักอยู่ ก็ตักมาเพียงนิดเดียว ดีหรือไม่”
“เฉิงเอ๋อร์ฉลาดเหลือเกิน” ไท่จื่อเฟยพยักหน้า ก้มตัวลงแล้วเริ่มหมุนถังน้ำอีกครั้ง
หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมองแล้วก็อดเหยียดหยามไม่ได้ ยืนพิงประตูดูความสนุกสนาน
มองดูสองแม่ลูกอยู่นานก็ไม่เห็นจะได้ความ เพียงน้ำหยดเดียวก็ยังตักมาไม่ได้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “โถ ที่แท้ก็เป็นไท่จื่อเฟยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม เฮ้อ ไม่สิ ตอนนี้จะเรียกว่าไท่จื่อเฟยคงไม่ได้แล้ว จิ๊ๆ แม้แต่น้ำครึ่งถังยังตักไม่ขึ้น นี่หากเอาไปพูดที่ไหน คนเขาคงหัวเราะกันแทบตาย”
เย่หลานเฉิงหันหน้ามาทันที จ้องนางอย่างดุร้าย “ไปเสียให้พ้น”
หลิ่วเอ๋อร์ยังคงกลัวอยู่เล็กน้อย ถอยเท้าไปสองสามก้าว แต่ก็ยังกระแทกแดกดันอยู่ “ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับซื่อจื่อ ข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว เมื่อครู่แม่ท่านก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ท่านเป็นพระราชนัดดา ข้ารับมือไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”
เจ้าเด็กนี่ เมื่อครู่ยังเหยียบเท้านางครั้งหนึ่ง ทั้งยังเหยียบลงตรงปลายนิ้วก้อยของนางพอดี จนถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บและชาอยู่เล็กน้อย นางยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาต้องจงใจเหยียบที่ปลายเท้าแน่
ขณะกำลังคิด ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากที่ไกลๆ ค่อนข้างดังเล็กน้อย “ปล่อยข้า ข้าบอกให้เจ้าปล่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจล่ะนะ”
น้ำเสียงนี้คุ้นหู ไท่จื่อเฟยเปลี่ยนสีหน้า จับมือเล็กๆ ของเย่หลานเฉิงไว้ทันที บีบแน่น “ทำไมกัน ทำไมเขาจึงกลับมาอีกแล้ว?”
ไม่ใช่ว่านึกเรื่องไม่ดีออก คิดจะมาจัดการกับเฉิงเอ๋อร์หรอกหรือ
ไท่จื่อเฟยมุ่นคิ้วจนเป็นปม
เย่หลานเฉิงเองก็เกร็งมุมปาก ส่ายหัว “ดูเสียก่อนเถิดขอรับ”
เขากล่าวจบ หลิ่วเอ๋อร์ทางด้านนั้นก็แววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เดินไปหาสองสามคนที่กำลังเดินมาทางนี้จากไกลๆ เดินไปพลางกล่าว “ไอ้หยา เวยซื่อจื่อ หลี่ซื่อจื่อ เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้วเล่าเจ้าคะ หรือว่านึกเรื่องสนุกๆ อันใดออกอีกแล้ว ข้าน้อยกำลังมีเรื่องสนุกๆ จะบอกท่านอยู่เลย พวกท่านรีบมาดูสิเจ้าคะ ทางด้านนี้มีสองคนกำลังตักน้ำอยู่ น่าสนุกเชียว ซื่อจื่อทั้งสองท่านระวังหน่อยนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะชนกัน”
นางกล่าวแล้วเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าตรงกลางระหว่างเย่หลานเวยและเย่หลานหลี่ ยังมีเด็กอีกคนหนึ่งที่มีผิวพรรณผ่องใสราวกับหยก
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกาย เห็นว่าเขาสามารถเข้ามาในจิ่นเฉิงย่วนได้ตามใจ แสดงว่าฐานะย่อมไม่ธรรมดา
ทันใดนั้นก็เดินไปต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านนี้คือนายน้อยคนไหนกันหรือเจ้าคะ ท่าทางดูหล่อเหลารูปงามยิ่งนัก เพียงมองก็รู้เลยว่าเป็นคนมีโชค”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จับนังหลิ่วเอ๋อร์นี่โยนลงบ่อดีไหมเนี่ย รำคาญนักพวกคนใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เดี๋ยวเจอหนานหนานแล้วจะหนาว
ไหหม่า(海馬)