อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 943 ยังไม่ไสหัวไปอีกหรือ
ตอนที่ 943 ยังไม่ไสหัวไปอีกหรือ
ตอนที่ 943 ยังไม่ไสหัวไปอีกหรือ
หัวหน้าหน่วยผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ยังคงลังเลไม่กล้าก้าวเดิน
“ทำไมหรือ หรือจะต้องให้ข้าไปทูลขอพระราชโองการก่อนจึงจะไปได้?”
หัวหน้าหน่วยผู้นั้นรู้สึกหวาดกลัว คุกเข่าลงกับพื้นดัง ‘ตุ้บ’ “ไม่กล้าขอรับ ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ”
“ในเมื่อไม่กล้า ยังไม่ไสหัวกันไปอีกหรือ” น้ำเสียงของเย่ซิวตู๋ทุ้มต่ำลงทันใด บริเวณรอบๆ ก็เงียบเสียงลงทันที แม้แต่ประชาชนที่เดิมทียืนกระซิบกระซาบอยู่ข้างๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมาอีก
หัวหน้าหน่วยผู้นั้นหน้าซีด รีบตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ขอรับ ขอรับ ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
เขากล่าวจบก็รีบหมุนตัวกล่าวกับเหล่าทหารยามด้านหลังตน “กลับไปให้หมด กลับไป” กล่าวเสร็จก็ส่งสายตาให้หนึ่งในนั้นรีบไปหาองค์ชายสี่
เย่ซิวตู๋แค่นหัวเราะ จากนั้นก็ให้โม่เสียนและเผิงอิงช่วยพาเด็กสองสามคนขึ้นรถม้า
พวกเย่หลานผิงสองสามคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้คนรับใช้ลากรถม้าของตนมาตามหลังรถม้าของเย่ซิวตู๋ จากนั้นกลุ่มคนก็พากันไปที่จวนท่านอ๋องซิวอย่างยิ่งใหญ่
ทันทีที่หนานหนานนั่งรถม้า ก็กล่าวอย่างแปลกใจ “ท่านพ่อ ท่านลืมเรื่องที่ตนบาดเจ็บไปแล้วหรือ?” เสแสร้งก็ยังทำไม่เหมือน ทำหน้าที่อย่างไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “ท่านแม่เจ้ามีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง ข้าหายดีแล้ว” อาการฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนัก หากเขายังแสร้งทำเป็นบาดเจ็บสาหัส ก็รังแต่จะเป็นที่ไม่สบายพระทัยมากกว่าเดิม
หนานหนานพยักหน้าแล้วล้มตัวลงบนตักของเย่ซิวตู๋ ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็เหมือนกับนึกอะไรออก หันหน้ามองไปรอบๆ ทันที ยกหมอนนุ่มข้างหลังขึ้นมาแล้วชะโงกมอง
เย่ซิวตู๋แปลกใจ “มีอะไรหรือ เจ้าหาอันใดอยู่?”
“ท่านแม่น่ะสิขอรับ” หนานหนานตอบอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านพาท่านแม่ไปด้วยกันไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว แต่ไม่มีท่านแม่เล่า?”
เย่ซิวตู๋ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา อุ้มเขาไว้บนตักของตน จากนั้นก็กล่าวเบาๆ “ท่านแม่เจ้าไปพบซูเฟยเหนียงเหนียง จะกลับมามืดหน่อย”
ในนามก็คือให้ไปติดตามอาการของซูเฟย แต่จริงๆ แล้วเป็นเสด็จพ่อที่บอกให้นางอยู่ต่อ
ชิงเอ๋อร์จับชีพจรของเสด็จพ่อ ในใจของเสด็จพ่อก็พอจะคิดเอาไว้อยู่แล้ว
เพียงแต่หวังว่าชิงเอ๋อร์จะสามารถพูดคุยกับเสด็จพ่อเกี่ยวกับอาการของเขาอย่างอ่อนโยนเสียหน่อย…
“หากฝ่าบาททรงงานหนักจนเกินไปอีก ไม่ถึงหนึ่งปีก็อาจจะถึงคราวก็เป็นได้เพคะ” ในวังหลวง อวี้ชิงลั่วจ้องมองฮ่องเต้ด้วยสายตาจริงจัง น้ำเสียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ดูท่าทาง… ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่เหมียวเชียนชิวที่อยู่ด้านข้างก็ตัวแข็งทื่อไปตามๆ กัน
เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากในทันที คนที่กล้ากล่าวต่อหน้าฝ่าบาทว่าเขาจะถึงคราวนั้น เกรงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคงจะมีเพียงแม่นางอวี้คนเดียว
เขาเช็ดเหงื่ออย่างช้าๆ ส่งสายตาให้อวี้ชิงลั่วอย่างต่อเนื่อง
แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายนั้นแทบจะมองไม่เห็นเลย ยังคงเม้มปาก จ้องมองฮ่องเต้ด้วยสายตาที่จริงจังและเฉียบคม
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ก็ทรงสรวลออกมา “ยังไม่เคยมีหมอหลวงคนไหนกล้ากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้าเลย”
“หม่อมฉันจึงเป็นหมอหลวงไม่ได้อย่างไรเล่าเพคะ” อวี้ชิงลั่วชี้ให้เห็น
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะอย่างเงียบๆ ใช่น่ะสิ ก็เป็นเพราะหมอหลวงเล่านั้นไม่กล้ากล่าวความจริงต่อหน้าเขา หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเหตุผลบางประการทำให้เขาไม่บอกสาเหตุการป่วยที่แท้จริงออกมา หรือาจจะเป็นเพราะไม่กล้าแบกรับผลที่ตามมาจากการช่วยฮ่องเต้เอาไว้ไม่ได้ ดังนั้นต่อให้ร่างกายของเขาย่ำแย่ลงทุกวัน หมอหลวงเหล่านั้นก็ทำได้เพียงเตือนให้เขาอย่าทำงานหนักเกินไป สั่งยาให้เขากองหนึ่ง แต่จะไม่มีใครบอกว่าจะอยู่ไม่ถึงหนึ่งปี
เรื่องร้ายแรงเพียงนี้ ใครจะไปกล้าพูดกัน พูดออกไปก็กลัวว่าจะกระตุ้นอารมณ์กริ้วของฮ่องเต้ ลากเขาออกไปตัดหัวเสีย
ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้นมองอวี้ชิงลั่วแวบหนึ่ง กล่าวเสียงต่ำ “ข้าเข้าจแล้ว เจ้าควรสั่งยาอันใดก็สั่งมาเถิด”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทเพคะ เย่ซิวตู๋ก็ดี หนานหนานก็ดี พวกเขาล้วนหวังไม่ให้เกิดอันใดขึ้นกับพระองค์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ด้วยยาเพคะ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือต้องสงบสติอารมมณ์ นอนให้มาก ออกกำลังกายให้มาก ทรงปรับกิจวัตรประจำวันของพระองค์ให้ดีเพคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮ่องเต้มีท่าทางราวกับไม่อยากกล่าวอันใดไปมากกว่านี้
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วแน่นขึ้น ถึงแม้นางจะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่การจะรักษาคนไข้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากคนไข้ด้วย ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จริงจังกับคำพูดของนางเลย
อวี้ชิงลั่วเองก็หงุดหงิดเล็กน้อย เก็บกระเป๋ายาไว้กับตัว หมุนตัวแล้วจากไป
เหมียวเชียนชิวที่อยู่ข้างๆ เหงื่อแตกพลั่ก แม่นางชิงผู้นี้ดูท่าทางจะมีอารมณ์รุนแรง แม้แต่มารยาทพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่สนใจ
เขาหันหน้าไปมองสีหน้าของฝ่าบาทแวบหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่ได้มีความตั้งใจจะตำหนิอันใดก็ลอบถอนหายใจ รีบส่งอวี้ชิงลั่วออกจากห้องทรงอักษร
แต่ทว่าเมื่ออวี้ชิงลั่วอยู่ห่างจากประตูไม่ถึงหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้า เม้มปาก หยิบเอาขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ายา ยัดลงไปในมือของเหมียวเชียนชิวโดยตรงแล้วกล่าว “วันละสองเม็ด กินหลังอาหารเย็น กินเนื้อสัตว์ให้น้อย”
เหมียวเชียนชิวผงะ จากนั้นก็ปาดเหงื่อ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กนอ้ย “ขอรับ ข้าน้อยจะจำเอาไว้”
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด จากนั้นก็ยังไม่เต็มใจนัก พึมพำสองสามคำ “หากมีคนไข้ที่ไม่ให้ความร่วมมือกับข้า ข้าก็จะไม่ไปสนใจเด็ดขาด หากไม่ใช่เพื่อเย่ซิวตู๋และหนานหนานล่ะก็ หึ”
เหมียวเชียนชิวเริ่มเหงื่อแตกอีกครั้ง เหล่ตาไปมองฮ่องเต้แวบหนึ่ง หวังว่าเขาไม่ได้ยินเสียงของแม่นางอวี้เมื่อครู่คงจะดี
“เอาล่ะ ไม่ต้องส่งข้าแล้ว ข้าจะไปดูทางด้านซูเฟยเหนียงเหนียงเสียหน่อย” อวี้ชิงลั่วยกเท้าเดินออกจากห้องทรงอักษรไป
เหมียวเชียนชิวค่อยๆ ถอนหายใจ ถือขวดลายครามหมุนตัวกลับมา “ฝ่าบาท…”
“จริงๆ แล้วนิสัยเช่นนี้ของนางจะทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจได้ง่าย แต่สำหรับข้าแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์เงียบๆ หมุนตัวเดินไปนั่งด้านหลังโต๊ะ
“เป็นจริงตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวรีบเดินตามไป นำขวดลายครามวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ กล่าวเบาๆ “ในโลกนี้มีคนที่กล้าพูดความจริงอยู่ไม่มาก แม่นางอวี้เองก็เป็นห่วงพระวรกายของพระองค์ด้วยใจจริง จึงได้เสียมารยาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลิกพระขนงมองเขา เหมียวเชียนชิวตกใจ รีบก้มหัวลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ “ข้ารู้ว่านางหวังดี เจ้าเองก็ไม่ต้องพูดแทนนาง ข้าเชื่อในสายตาของซิวเอ๋อร์”
“ข้าน้อยมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวลดเสียงลง และไม่กล้ากล่าวอันใดอีกแม้แต่คำเดียว
ในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด ราวกับว่าได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของกันและกัน
ฮ่องเต้หยิบขวดกระเบื้องเคลือบขวดนั้นของอวี้ชิงลั่วไว้ในมือ ลองพลิกดูก็รู้สึกว่าหนักมาก ดูท่าทางเหมือนกับว่าจะมียาอยู่เต็มขวด
คิดได้ถึงเสียงพึมพำของนางเมื่อครู่ก่อนจากไป ในใจก็อดถอนหายใจไม่ได้
เหมียวเชียนชิวโค้งตัวยืนอยู่ด้านหลังเขา ไม่รู้ว่าฮ่องเต้กำลังคิดอันใดอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหมือนกับว่าผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ที่คมชัดดังเข้ามาในหูของเขา
เมื่อหันไปมองก็พบว่าขวดกระเบื้องเคลือบในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ถูกวางลงบนโต๊ะ นิ้วมือของเขากำแน่นขึ้นมาก
“เชียนชิว” ฮ่องเต้เรียกเขา
เหมียวเชียนชิวรีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าต้องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท” น้ำเสียงของฮ่องเต้ทุ้มและทรงพลัง เหมียวเชียนชิวได้ยินกลับตกใจอย่างมาก ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง
แต่งตั้งองค์รัชทายาทหรือ?
ตอนนี้น่ะหรือ?
ต้องการแต่งตั้งท่านอ๋องซิวอย่างนั้นหรือ?
ชั่วขณะนั้นก็มีความคิดนับร้อยพันผุดขึ้นมาในหัวของเหมียวเชียนชิว กลับทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฮ่องเต้คงรู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่นานแล้ว เลยอยากแต่งตั้งรัชทายาทน่ะค่ะ หลังจากนี้แผ่นดินจะลุกเป็นไฟไหมหนอ
ไหหม่า(海馬)