อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 952 อธิบาย
ตอนที่ 952 อธิบาย
ตอนที่ 952 อธิบาย
อวี้ชิงลั่วและเหมิงจื่อเชียนอ้าปากค้างพร้อมกัน ซ่อนจี้หยกไว้ด้านหลังโดยแทบไม่รู้ตัว พากันถอยหลังไปสองสามก้าว
เสิ่นอิงเพิ่งเดินมาเห็นภาพดังกล่าวก็ตบหน้าผากของตนอย่างแรงทันที ในใจร้องว่าแย่แล้ว
อวี้ชิงลั่วกลับตอบสนองอย่างรวดเร็ว อยากจะกัดตัวเองสักครั้ง นี่นางทำอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังร้อนตัวไม่ใช่หรือ?
แต่ว่า… ตอนนี้นางก็ร้อนตัวจริงๆ นั่นแหละ
ขณะในใจของนางสับสน เหมิงจื่อเชียนที่อยู่อีกฝั่งก็กำจี้หยกแน่น ท่าทางสับสนและตื่นตระหนก ผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ท่านพี่… คือว่า พวกเรา…”
เขาต้องพูดอะไร เขาควรพูดอะไรกัน เหมิงจื่อเชียนอยากจะร้องไห้ในความโง่ของตน
ดูเหมือนจะกล่าวอย่างไรก็ผิด ไม่สามารถบอกความจริงได้ แต่หากไม่บอกความจริงแล้วจะอธิบายได้อย่างไร?
เขาเงียบไป ทำได้เพียงมองไปทางอวี้ชิงลั่ว
“เจ้ามองนางทำไมกัน?” เย่ซิวตู๋กลับตะคอกในทันใด
เหมิงจื่อเชียนตะลึงไป อวี้ชิงลั่วและเสิ่นอิงเองก็สะอึก รู้ว่าเย่ซิวตู๋อยู่ในระดับที่โกรธจนแทบระเบิดแล้ว
อวี้ชิงลั่วรีบก้าวไปข้างหน้า คิดจะดึงเขาไว้ เย่ซิวตู๋กลับเดินไปหาเหมิงจื่อเชียนในทันที ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าจะไปฆ่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
อวี้ชิงลั่วกระวนกระวาย “เย่ซิวตู๋ ท่านใจเย็นก่อน พวกเรา…”
น้ำเสียงของนางหยุดลงทันที เห็นเย่ซิวตู๋จับมือของเหมิงจื่อเชียนเอาไว้ในทันใด หยิบเอาจี้หยกที่อยู่กลางฝ่ามือของเขาออกมา
จากนั้นเขาก็หมุนตัวหันมาโดยไม่พูดอะไร คว้าแขนของอวี้ชิงลั่ว จับนางแล้วออกจากห้องไป
ฝีเท้าของเย่ซิวตู๋ค่อนข้างเร็ว ทั้งเร่งรีบและร้อนรน
อวี้ชิงลั่วตามไม่ค่อยทันนัก จึงเดินโซเซ หลายครั้งก็เกือบจะล้มลงกับพื้น หายใจหอบมากขึ้นเรื่อยๆ นับประสาอะไรกับการพูดสองสามประโยคเพื่อให้เขาสงบสติอารมณ์เล่า
เมื่อผ่านศาลาที่สวนด้านหลังก็เห็นหนานหนาน เย่หลานเฉิง และอวี้เป่าเอ๋อร์ทั้งสามคนกำลังนั่งเล่นอยู่ทางด้านนั้น เมื่อเห็นภาพนี้ ทั้งสามคนก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ทันที
เย่หลานเฉิงดึงแขนเสื้อของหนานหนานอย่างกระวนกระวาย “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านอาห้าสีหน้าไม่ดีเลย”
“นั่นสิ ส่วนท่านพี่หญิงก็ถูกเขาฉุดกระชากลากถูอยู่ ตามฝีเท้าของเขาไม่ทันแล้ว” อวี้เป่าเอ๋อร์เดินหน้าไปสองสามก้าว เห็นหนานหนานยังยืนอยู่ที่เดิมก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปดึงเขา
หนานหนานเม้มปาก คิ้วเล็กขมวดเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เกาศีรษะ กล่าวว่า “ไม่เป็นไรๆ ท่านแม่ไม่กล่าวอันใด แล้วก็ยังไม่แทงเข็มใส่ท่านพ่อ พวกเขาน่าจะมีเรื่องด่วนก็เท่านั้น”
แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น หนานหนานก็ยังดูกังวลอยู่
เขารู้นิสัยของท่านแม่ดี ท่านแม่เป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบมาโดยตลอด ตอนนี้เป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางที่รู้สึกผิดเสียจนไม่กล้าลงมือ
ท่านพ่อกับท่านแม่ทะเลาะกันหรือ? แต่ก็ดูไม่เหมือนเช่นนั้น
หนานหนานถอนหายใจ โลกของผู้ใหญ่ช่างซับซ้อนนัก เขาไม่เข้าใจเลย
อวี้ชิงลั่วเองก็ย่อมเห็นพวกเขาสามคน แต่ยังไม่ทันได้โบกมือเป็นสัญญาณว่าตนสบายดี ในเสี้ยววินาทีนั้นก็ถูกเย่ซิวตู๋ลากเลี้ยวตรงมุมหนุ่ง เข้าไปสู่เรือนตู๋
เรือนตู๋ไม่มีคนพักอยู่มานานแล้ว ตั้งแต่เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วรักกันอย่างเปิดเผย ก็จะพักอยู่ที่เรือนของนางมาโดยตลอด เรือนตู๋จึงเหลือเพียงคนที่คอยดูแลเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อเห็นพวกเขาเดินตามกันมา คนรับใช้ทั้งสองคนนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ ยังไม่ทันได้สอบถาม ก็ได้ยินเย่เสียงอันเย็นชาของเย่ซิวตู๋ดังขึ้นเสียก่อน “ออกไปให้หมด”
ทั้งสองคนตะลึง ถอยจากไปอย่างตัวสั่นเทาในทันที
อวี้ชิงลั่วถูกเขาลากเข้าไปในห้อง เพียงปิดประตูเขาก็ปล่อยมือ ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว หันหลังให้นางโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
อวี้ชิงลั่วหอบหายใจ เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผาก กระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งจะมีเวลาได้เช็ดออก
ขณะมองด้านหลังของเย่ซิวตู๋ นางก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา
ตลอดทางเดินมานี้ ในที่สุดนางก็จัดการความคิดของตนได้
เย่ซิวตู๋กำจี้หยกในมืออย่างแรง เม้มปากแน่น จนกระทั่งเสียงหายใจจากด้านหลังค่อยๆ มั่นคง เขาจึงหันกลับมาในทันใด จ้องนางเขม็ง “อธิบายมา”
อวี้ชิงลั่วตะลึง ทั้งยังกลัดกลุ้มเล็กน้อย นางต้องอธิบายอย่างไร ตอนนี้ในหัวนางเองก็สับสนไปหมด เรื่องที่ค้นพบในวันนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว จนถึงตอนนี้นางเองก็ยังแยกแยะไม่ได้ อย่าว่าแต่จะหาต้นตอมาบอกเขาเลย
ในที่สุดอวี้ชิงลั่วเองก็เข้าใจ ว่าทำไมแม่นมเก๋อจึงให้นางไปหากล่องตัวคนเดียว หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วค่อยเอามาหารือกับเย่ซิวตู๋
ว่ากันตามตรง นางเองก็ยังลังเลเล็กน้อย
“พูดมา” เย่ซิวตู๋เห็นนางเงียบไป สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ลง เมื่อเอ่ยออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงก็ไม่มั่นคงนัก
อวี้ชิงลั่วได้ยินแล้วก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา ก้าวไปข้างหน้าแล้วโอบเอวของเขา ซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกของเขา
เย่ซิวตู๋ตัวสั่นไปทั้งร่าง แทบอยากจะผลักนางออกไป เพียงแต่ยกนิ้วขึ้นแล้วก็ต้องวางลงอีกครั้ง
“ข้าจะบอกให้ วันนี้ข้าไปเจออวี๋จั้วหลินมา เขาหนีออกมาเสียแล้ว”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าไปอยู่ในห้องของเหมิงจื่อเชียนตามลำพังกับเขา ทั้งยังมอบจี้หยกให้กันด้วย”
อวี้ชิงลั่วกลั้วหัวเราะ ไต่นิ้วบนไหล่ของเขา ลูบไปมาช้าๆ สองครั้ง “ไม่ได้มอบจี้หยกให้กันหรอก ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนอย่างไร จะไปมอบจี้หยกให้เขาได้อย่างไรเล่า ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมข้าถึงไปอยู่ตามลำพังในห้องกับเขา นั่นเป็นเพราะ… ข้าฆ่าอวี๋จั้วหลิน ได้ยินมาว่าท่านอยู่กับเขาที่นั่น จึงรีบไปหาท่าน ตอนนั้นกำลังตกใจมาก จึงสับสนเล็กน้อย”
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าโดยตรงเรื่องจี้หยก เรื่องจี้หยกนั้น…” เย่ซิวตู๋ชะงักไปทันที หันหน้ามามองนาง “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าฆ่าอวี๋จั้วหลินหรือ?”
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าอย่างไร้เดียงสา “อืม ฆ่าเขาแล้ว”
“ฆ่าได้อย่างไร?”
“ก็ ก็ปักเข็มเงินลงบนหัวเขาเช่นนี้ เขาก็ตายแล้ว”
“…” เย่ซิวตู๋หรี่ตา “อวี้ชิงลั่ว!!”
“เอาล่ะ อย่าโกรธเลย เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ เล่า” อวี้ชิงลั่วรีบสางผมให้เขา เล่าเรื่องที่ตนได้พบอวี๋จั้วหลินที่จวนอวี๋ ไปจนถึงเรื่องของเฟยเกอให้เขาฟังอย่างละเอียดด้วยเสียงเบารอบหนึ่ง
เย่ซิวตู๋ฟังจบก็เงียบไป หลังจากผ่านไปนานก็ตอบเสียงต่ำ “อ้อ”
อ้อหรือ? แค่นี้หรือ?
“เขาควรตายตั้งนานแล้ว” เย่ซิวตู๋กล่าว “แล้วทำไมเจ้าต้องไปที่จวนอวี๋ จี้หยกมาจากไหน ทำไมเจ้าไปอยู่ที่ห้องของจื่อเชียน ในใจเจ้าลังเลอะไรอยู่?”
“…” อวี้ชิงลั่วสีหน้าแข็งทื่อไป ผ่านไปนานก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ข้าไม่พูดได้ไหม?”
นางไม่รู้จะหาเหตุผลอื่นใดมาปิดบังเขาได้แล้วจริงๆ คนผู้นี้ฉลาดเกินไป
เย่ซิวตู๋หรี่ตา “เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?”
ต้องตอบสนองเร็วเพียงนี้ด้วยหรือ?
อวี้ชิงลั่วฝังศีรษะไว้ในอ้อมอกเขาอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ใช่ เกี่ยวข้องกับท่าน เพียงแต่เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งรู้ ในใจข้าสับสนมาก ชั่วขณะหนึ่งก็สับสนไม่รู้ว่าควรบอกท่านอย่างไร ท่านให้เวลาข้าหน่อยเถิด หากข้าคิดออกว่าจะบอกอย่างไรก็จะบอกท่าน ดีหรือไม่?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วจะอธิบายยังไงดีนะ ดูท่าทางเป็นเรื่องน่าช็อคพอสมควรเลย
ไหหม่า(海馬)