อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 954 มือสังหาร
ตอนที่ 954 มือสังหาร
ตอนที่ 954 มือสังหาร
ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์หรือ?
รูม่านตาของเย่ซิวตู๋หดลงทันใด ลมหายใจช้าลง อวี้ชิงลั่วที่อยู่ด้านหลังก็วิ่งเข้ามาแล้ว “ไปกัน เราเข้าวังไปดูเสียหน่อย”
นางกล่าว เอื้อมมือมาจับมือของเขาที่สั่นเบาๆ มองเขาอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย
เย่ซิวตู๋สูดหายใจลึกๆ พยายามอย่างมากเพื่อควบคุมอารมณ์ตนเอง จากนั้นก็มองไปยังพ่อบ้านหยาง เอ่ยถาม “คนที่มาจากในวังอยู่ที่ไหน เสด็จพ่อเป็นอะไรหรือไม่?”
“คนอยู่ที่โถงด้านหน้าขอรับ ฝ่าบาททรงได้รับการช่วยเหลือแล้ว เหมียวกงกงส่งคนจากห้องบรรทมมา ต้องการเชิญแม่นางอวี้นำกระเป๋ายาเข้าวังไปพร้อมท่านอ๋องขอรับ”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า กระเป๋ายาติดตัวของนางอยู่แล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา
เย่ซิวตู๋รอไม่ไหวแล้ว โอบเอวของอวี้ชิงลั่วแล้วมุ่งหน้าสู่โถงด้านหน้าอย่างรีบร้อน
พวกหนานหนานสามคนเพิ่งเร่งรีบมาถึง แต่ก็มาทันเพียงเห็นเงาด้านหลังของทั้งสองคนเท่านั้น
เขารีบดึงรั้งพ่อบ้านหยางที่หายใจหอบเอาไว้ ถามอย่างเป็นกังวลอย่างมาก “มีอะไรๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
พ่อบ้านหยางย่อตัวลง กระซิบที่ข้างหูของเขา “ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ ท่านอ๋องและแม่นางอวี้ต้องเข้าวังแล้วขอรับ”
“ถูก ถูกลอบปลงพระชนม์หรือ?” หนานหนานเบิกตากว้าง คิดถึงเสด็จปู่ที่รักใคร่ตนมาตลอดต้องตกอยู่ในอันตราย ก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบตามเย่ซิวตู๋ทั้งสองคนไป
เพียงแต่จนกระทั่งเขารีบไปถึง เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับข้าหลวงจากในวังที่มาส่งข่าวแล้ว รีบรุดเข้าวังหลวงโดยไม่หยุดพัก
หนานหนานกระทืบเท้า หันหน้ากลับมาก็เห็นเย่หลานเฉิงที่ก็ดูกังวลมากเช่นกัน รีบจับมือเขาแล้วกล่าวเบาๆ “พวกเรา พวกเราก็เข้าวังกันเถิด”
“อืม” ทั้งสองคนให้โม่เสียนและเสิ่นอิงเทียมรถม้า และมุ่งหน้าเข้าวังไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตอนนี้เย่ซิวตู๋กำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในรถม้า ฟังคำพูดของข้าหลวงผู้นั้นที่เกรงกลัวเขาเล็กน้อย และจงใจนั่งห่างๆ “เช้าวันนี้หลังจากฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ขณะกำลังทรงอ่านสาส์นอยู่ในห้องทรงพระอักษร ก็ทรงถูกขันทีคนหนึ่งแทงขอรับ”
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของเย่ซิวตู๋จ้องมองมา ข้าหลวงผู้นั้นก็รีบกล่าวต่อ “ฝ่าบาททรงสั่งให้คนข้างกายทุกคนออกไป ไม่เว้นแม้แต่เหมียวกงกงก็ยังต้องคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หลังจากนั้น หลังจากนั้นเหมียวกงกงก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากด้านใน จึงผลักประตูห้องทรงพระอักษรเปิดออกดู ก็พบว่ามีคนชุดดำคนหนึ่งและคนที่ดูเหมือนขันทีกำลังต่อสู้กัน เงาดาบเป็นประกาย ฝ่าบาทกลับประทับอยู่ตรงบัลลังก์มังกร พระหัตถ์กุมพระอุระ บนนั้นเต็มไปด้วยพระโลหิตขอรับ”
“เหมียวกงกงเข้าใจว่าคนชุดดำผู้นั้นคือมือสังหาร รีบเรียกทหารองครักษ์ให้มาจับมือสังหาร ตนวิ่งไปหาฝ่าบาทเพื่อคอยปกป้องอยู่ข้างกายพระองค์ แต่คิดไม่ถึง ฝ่าบาทกลับตรัสว่ามือสังหารคือขันทีผู้นั้น คนชุดดำเป็นคนที่มาปกป้องฝ่าบาท กล่าวจบ ฝ่าบาทก็ทรงหมดสติไปขอรับ”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม “แล้วมือสังหารและคนชุดดำเล่า?”
“มือสังหารเห็นว่าทหารองครักษ์มาแล้ว คนชุดดำนั้นก็มีวิชาต่อสู้สูงส่ง ชั่วขณะนั้นไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จึงหมุนกายหนีจากไป คนชุดดำเองก็ไล่ตามไป ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดขอรับ”
อวี้ชิงลั่วจับมือเย่ซิวตู๋เอาไว้อย่างเงียบๆ ปลอบโยนเขาโดยไร้เสียง เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของเขาค่อยๆ เผยอออก อยากจะกล่าวบางอย่างแต่ลังเล ท่าทางมีคำถามอยากจะถาม แต่ไม่สามารถถามออกมาได้
นางลอบถอนหายใจ ถามแทนเขา “อาการฝ่าบาทตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หมอหลวงว่าอย่างไร?”
“หมอหลวงบอกว่า โชคดีที่แผลแทงไม่ลึก ทั้งยังไม่โดนจุดสำคัญ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่…” ข้าหลวงคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำ “เพียงแต่ช่วงนี้พระวรกายฝ่าบาทค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นเมื่อครั้งนี้บาดเจ็บ จึงสร้างความเสียหายต่อพระองค์อย่างหนักขอรับ”
เดิมทีเรื่องนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ เพียงแต่เหมียวกงกงกำชับเขา ท่านอ๋องซิวและแม่นางอวี้ถามสิ่งใด เขาต้องตอบตามความเป็นจริงจึงจะใช้ได้
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า นางรู้ถึงอาการของฮ่องเต้ดี เช่นนี้ก็เป็นธรรมดา เดิมทีสุขภาพของฝ่าบาทก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว นับวันยิ่งทรุดหนัก ตอนนี้กลับเจอมือสังหารอีก ผีซ้ำด้ำพลอย…
เย่ซิวตู๋ไม่ได้ถามอันใดอีก หลับตาลงเล็กน้อย ลมหายใจยังคงหนักหน่วง ไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
อวี้ชิงลั่วเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวง หลังจากรู้ว่าอาการของฮ่องเต้ไม่ดีนัก ช่วงสองสามวันนี้เขาก็ไม่ได้นอนหลับสบายเลยสักคืน
ตอนนี้ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ สุขภาพของเขาเองก็จะยิ่งทรุดลง
อีกเดี๋ยวนางต้องหาอะไรมาช่วยให้เขาหลับสบายเสียหน่อยจึงจะใช้ได้
ขณะกำลังคิด รถม้าก็เคลื่อนตัวเข้าประตูวังแล้ว เย่ซิวตู๋เองก็รอข้าหลวงผู้นั้นไม่ไหว หลังจากลงรถม้าก็พาอวี้ชิงลั่วมุ่งตัวไปยังห้องบรรทมของฮ่องเต้โดยตรง
ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์กลางวันแสกๆ ทหารองครักษ์มากมายล้วนได้เห็น ข่าวจึงถูกแพร่ไปทั่ววังตั้งนานแล้ว
ตอนที่เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วมาถึง ด้านนอกห้องบรรทมมีคนล้อมอยู่มากมาย มีทั้งไทเฮา ฮองเฮา เหมิงกุ้ยเฟย ซูเฟยและคนอื่นๆ ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกัน
อวี้ชิงลั่วเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว คนมากมายมารวมอยู่ที่เดียวกัน อากาศไม่ถ่ายเท ไม่ดีต่อตัวฝ่าบาท
ถึงขนาดมีนางสนมหลายคนอยากจะเข้าไปดู หากไม่ใช่ว่าเหมียวเชียนชิวหารือกับไทเฮาไว้ก่อนแล้ว มีไทเฮาตื่นตระหนกขวางอยู่ตรงนั้น เกรงว่าแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้
เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วมาถึง ไทเฮาก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ประทับ ไม่สนใจสิ่งใด เดินออกมารับด้วยตนเอง “แม่นางหมอปีศาจ เร็วเข้า รีบมาดูอาการฝ่าบาทที ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้สติเลย”
เมื่อเทียบกับพวกหมอหลวงจากไท่อีเยวี่ยนแล้ว ตอนนี้ไทเฮาแสดงออกมาว่าเชื่อในอวี้ชิงลั่วมากยิ่งกว่า
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า รีบจับชีพจรให้ฮ่องเต้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวออกมา “ไทเฮาโปรดวางพระทัย ฝ่าบาททรงไม่เป็นอะไรมาก บาทแผลของพระองค์นั้น หมอหลวงก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่บาดเจ็บแล้ว ก็จะหมดแรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงจะบรรทมไปนานเสียหน่อยก็เท่านั้น ไม่นานก็จะทรงฟื้นเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าสั่งยาเสียหน่อยเถิด ต้องการสิ่งใด ข้าจะรีบให้คนไปหามา”
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด เห็นท่าทางของไทเฮาราวกับว่าหากไม่สั่งยา ฝ่าบาทก็จะไม่หายดี ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนปัญญา ให้คนนำกระดาษและพู่กันมา แล้วเขียนใบสั่งยาบำรุงชี่ให้
จากนั้นก็วางพู่กัน มองเหล่านางสนมด้วยรอยยิ้ม กล่าว “เหนียงเหนียงทุกท่าน ฝ่าบาททรงไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วงอันใดแล้ว ทุกท่านโปรดกลับไปพักผ่อนเถิด มาห้อมล้อมอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอันใด”
“ข้าเป็นห่วงฝ่าบาท ข้าต้องอยู่ที่นี่รอให้พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา” เหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยปากเป็นคนแรก แววตาที่มองอวี้ชิงลั่วดุร้ายราวกับอยากจะจับนางกิน
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้ชิงลั่วได้พบเหมิงกุ้ยเฟยหลังจากกลับถึงเมืองหลวง นางดูซูบผอมกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ใต้ตาก็ดูคล้ำไป ดูท่าแล้วคงจะนอนหลับไม่สบายนัก
เพียงแต่สายตาเฉียบคมมาก ทั้งเย่อหยิ่งและอวดดี เหมือนว่าหากไม่ทันระวัง นางก็จะพุ่งเข้ามากัดอย่างไรอย่างนั้น
อวี้ชิงลั่วเงียบไป คิดถึงเนื้อหาในสมุดเล่มนั้น แววตาที่มองนางก็ดูสับสนขึ้นมา
ทันทีที่เหมิงกุ้ยเฟยกล่าวจบ นางสนมคนอื่นๆ ก็ตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ “พวกเราจะอยู่ที่นี่ รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาค่อยกลับไป”
ดูท่าทางเหมือนทุกคนล้วนเป็นห่วงฝ่าบาทอย่างมาก เหมือนต้องการแสดงออกถึงจิตใจที่ภักดี
มีเพียงแต่ซูเฟยที่มองไปยังอวี้ชิงลั่วอย่างเป็นกังวล
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนที่ออกปากคนแรกว่าจะเฝ้าฝ่าบาทน่ะพิรุธชัดมากเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)