อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 960 มันถูกทิ้งไว้ให้เขาตั้งแต่แรก
ตอนที่ 960 มันถูกทิ้งไว้ให้เขาตั้งแต่แรก
ตอนที่ 960 มันถูกทิ้งไว้ให้เขาตั้งแต่แรก
ชายคนนั้นผงะไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นนาง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการซื้อสูตรลับหรือ?”
“ใช่” อวี้ชิงลั่วมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคือเถ้าแก่สวีอี้ใช่หรือไม่?” นางกำลังพูด แต่สายตาของนางกลับจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างนาง
ชายคนนั้นและชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกัน ซึ่งแสดงว่าเป็นความจริง หลังจากนั้นชายคนนั้นก็โบกมืออย่างกระวนกระวาย แล้วพูดว่า “สูตรลับนี้ไม่มีขาย เจ้าไปเสียเถิด”
เขาพูดพลางหมุนตัวเปิดม่านเข้าไปข้างใน
อวี้ชิงลั่วหัวเราะ “ขายหรือไม่ เจ้าไม่อยากฟังเงื่อนไขของข้าก่อนหรือ?”
“ไม่ขายไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม” สวีอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง และมองนางด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ไม่ว่าเสื้อผ้าจะประณีตและสูงส่ง หรือร่ำรวยและมีอำนาจมากเพียงใด เขาก็จะไม่มีทางยอมขาย
เงื่อนไขหรือ? ก็คงจะไม่พ้นเงิน
“เถ้าแก่สวี ถ้าข้ามีสูตรลับพิเศษด้วย ข้าจะสามารถแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้หรือไม่?”
สวีอี้ผงะ นางมีสูตรลับพิเศษด้วยหรือ? หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อเห็นความลังเลของเขา อวี้ชิงลั่วก็ค่อย ๆ ดึงกระดาษสี่เหลี่ยมที่พับไว้ออกมาจากแขนเสื้อ “เถ้าแก่สวีดูเองสิ แล้วเจ้าจะรู้”
สวีอี้ไม่ต้องการรับมาจริง ๆ เพราะสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่มีสูตรลับพิเศษเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด เขาจึงมีความอยากรู้อยากเห็นและต้องการจะรู้
สวีอี้เงยหน้าขึ้นและเห็นอวี้ชิงลั่วกำลังยกยิ้ม ราวกับว่ากระดาษในมือของนางมีเสน่ห์ไม่รู้จบ
ในที่สุดเขาก็กัดฟันดึงกระดาษนั้นออกจากมือของนาง
คลี่ออกดู เพียงแค่มองบรรทัดแรก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองอวี้ชิงลั่ว แล้วเปิดปากกระซิบทันที “แม่นาง โปรดตามข้ามา”
ชายหนุ่มด้านข้างเบิกตากว้าง สตรีผู้นี้เขียนอะไรบนกระดาษแผ่นนั้น? เถ้าแก่ยอมจริงหรือ?
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แล้วตามเขาเข้าไปหลังม่าน
ด้านหลังร้านมีเรือนเล็ก ๆ ของครอบครัวของสวีอี้ตั้งอยู่
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาก็เห็นเย่ซิวตู๋ยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ตรงกลางลาน
สวีอี้ตกใจจนก้าวถอยหลังกะทันหัน “ท่าน ท่าน…”
เย่ซิวตู๋หันกลับมาชำเลืองมองเขา จากนั้นมองอวี้ชิงลั่ว แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือสวีอี้?”
“อืม เมื่อครู่นี้สหายเขาก็ยอมรับแล้ว”
สวีอี้เม้มปากมองเย่ซิวตู๋สักพัก แล้วพูดตะกุกตะกัก “ท่าน ท่านคือ… องค์ชายซิวหรือ?”
บางครั้งเย่ซิวตู๋ออกไปข้างนอก จึงไม่น่าแปลกใจที่สวีอี้จะเห็นเขาขี่ม้าไปบนถนน
เย่ซิวตู๋พยักหน้า ก่อนหันหลังให้ทุกคน แล้วเดินเข้าไปในห้อง
อวี้ชิงลั่วยิ้มให้สวีอี้ “เถ้าแก่สวี เข้าไปคุยกันเถิด”
มุมปากของสวีอี้กระตุก สองคนนี้ช่างไม่สุภาพเอาเสียเลย เขาเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้แท้ ๆ
แต่เมื่อเขาคิดว่านั่นคือองค์ชายซิวผู้สูงศักดิ์ ไหล่ของสวีอี้ก็ลู่ตกลงทันที แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในห้อง
หลังจากปิดประตู เขาก็ทักทายเย่ซิวตู๋ “ถวายบังคมองค์ชายซิว…”
“นั่งลงเถิด วันนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องจะถาม ไม่ต้องสุภาพมากหรอก”
“พ่ะย่ะค่ะ” สวีอี้ลุกขึ้นไปชงชาด้วยตัวเอง แล้วยกมาวางไว้ข้างหน้าเย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่ว
หลังจากนั้นเขาก็ยืนห่าง ๆ ด้วยความเคารพ แล้วถามอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายมีอะไรจะรับสั่งข้าน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก่อนอื่นเจ้าต้องอ่านจดหมายฉบับนั้นก่อน” เย่ซิวตู๋ชี้ไปที่กระดาษในมือเขา
สวีอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ คลี่กระดาษออก เมื่อสักครู่นี้เขาเพิ่งอ่านถึงแค่ตอนต้น และรู้ว่าเจียงอวิ๋นเซิงเขียนจดหมายถึงเขา
เจียงอวิ๋นเซิงเป็นผู้ลี้ภัย แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าพี่ชายของเขาจะทำร้ายองค์ชายสิบสอง แต่ตอนนี้องค์ชายซิวมาถึงประตูบ้าน พร้อมกับจดหมายของพี่เจียง จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง
จดหมายไม่ได้ยาวนัก เขาจึงรีบอ่านผ่าน ๆ
จดหมายบอกประมาณว่าองค์ชายซิวเป็นคนที่ไว้ใจได้ และถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องมอบสิ่งที่อาจารย์มอบหมายให้เขาเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี
อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่าการเสียชีวิตของอาจารย์ไม่ใช่อุบัติเหตุ และการที่เขาถูกใส่ร้ายก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย ตอนนี้มีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คนเดียวที่สามารถตัดสินใจแทนอาจารย์และเขา เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขาคือองค์ชายซิว
หลังจากที่สวีอี้อ่านจบ สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง
เขาเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิวตู๋ แล้วเปิดปากพูด สีหน้ายังคงเคร่งเครียด “พี่ชายของข้าได้พูดอะไรกับองค์ชายอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าเป็นศิษย์คนสนิทของหมอเริ่น มีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์แต่ไม่ชอบเป็นหมอ มีเพียงเจ้า หมอเริ่นและเจียงอวิ๋นเซิงเท่านั้นที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับหมอเริ่น และหมอเริ่นได้ให้สมุดบันทึกแก่เจ้าไว้ นั่นคือทั้งหมดที่รู้” อวี้ชิงลั่วตอบ
สวีอี้ชำเลืองมองเขา เม้มปากแล้วพยักหน้าช้า ๆ
“ตอนนี้พี่ชายของข้าอยู่ที่ใด?”
“ไม่อาจบอกเจ้าได้ แต่ตอนนี้พี่ชายของเจ้าปลอดภัยแล้ว เจ้ารู้ตัวตนปัจจุบันของเขา หากมีคนรู้น้อย เขาก็จะปลอดภัยมากขึ้น” อวี้ชิงลั่วยังคงเป็นคนตอบ
“องค์ชายจะมอบความยุติธรรมให้พี่ชายข้าได้ใช่หรือไม่?”
“เปิ่นหวางสัญญา” ดวงตาของเย่ซิวตู๋สงบ ขณะพูดอย่างชัดเจน
สวีอี้จ้องมองเขาอยู่นาน ก่อนจะหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว องค์ชายโปรดรอสักครู่”
พูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป
อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋มองหน้ากัน ทั้งคู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาคิดว่าสวีอี้จะลังเลและทำการทดสอบดู แต่พวกเขาไม่คิดว่าเขาจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องราวครึ่งชั่วยาม ก่อนที่สวีอี้จะกลับมา
เขาถือกล่องที่ดูค่อนข้างเก่าอยู่ในมือ แต่กล่องนั้นสะอาดเพราะถูกเช็ดทำความสะอาดแล้ว
เขาวางกล่องลงบนโต๊ะ หยิบกุญแจออกมาไขให้เปิดออก
ภายในนั้นมีสมุดบันทึกวางอยู่เงียบ ๆ มันดูธรรมดามากราวกับว่าหนังสือที่ถูกอ่านมาหลายครั้ง
สวีอี้หยิบหนังสือออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วส่งให้เย่ซิวตู๋ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ความจริงแล้วท่านอาจารย์มาหาข้าไม่นาน ก่อนที่ท่านจะถูกฆ่า ท่านอาจจะรู้ชะตากรรมของตนอยู่แล้ว และพูดอะไรบางอย่างที่แปลกมาก เป็นเรื่องสัพเพเหระ บางทีก็คลุมเครือ แต่มีประโยคหนึ่งที่ติดตรึงในใจข้ายิ่งนัก”
ในขณะที่เขาพูด เขามองลงไปที่สมุดบันทึกด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
แม้ว่าเขาจะเข้ากับหมอเริ่นได้ไม่มากนัก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นอาจารย์และลูกศิษย์ โชคชะตาระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมาก อาจารย์ให้ความสำคัญกับเขามาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นหมอ แต่เขาก็ยังถือว่าอาจารย์เป็นคนที่เขาเคารพรักมากที่สุด
อาจารย์เสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาย่อมเศร้าโศกอยู่ในใจ
นี่คือสิ่งที่อาจารย์มอบหมายให้เขาดูแล เขาจึงเก็บรักษามันอย่างทะนุถนอม
บัดนี้… นับได้ว่าเป็นการสร้างบุญกุศลของเขาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ประโยคนั้นว่าอย่างไร?” อวี้ชิงลั่วรู้สึกสงสัย
สวีอี้สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิวตู๋ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์กล่าวว่าไม่ควรเก็บสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้กับตัวนาน วันหนึ่งจะมีคนมารับไป ถ้าคนผู้นั้นไม่ใช่องค์ชายซิวก็อย่าได้ให้ไป”
เย่ซิวตู๋อึ้งงัน เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แสดงว่าสมุดบันทึกเล่มนี้… หมอเริ่นตั้งใจจะทิ้งไว้ให้เขาตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ?
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หมอเริ่นเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับชาติกำเนิดของท่านอ๋องซิวกับองค์ชายเจ็ดแน่เลย ไม่งั้นคงไม่โดนสั่งเก็บ
ไหหม่า(海馬)