อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 964 สอบถาม
ตอนที่ 964 สอบถาม
ตอนที่ 964 สอบถาม
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุก ไม่อาจสลัดเขาออกไปได้ เมื่อมือสัมผัสเนื้อนุ่มของเขา หัวใจของนางก็สงบลงทันที
หนานหนานหันไปด้านข้าง เขาพยายามบิดคอเพื่อมองนาง แล้วตอบว่า “ท่านซื้อผลไม้แช่อิ่มให้เรา เสี่ยวเฉิงเฉิงบอกว่าควรจะมาขอบคุณท่าน พวกเราจึงมาที่นี่ แต่สาวใช้ข้างนอกบอกว่าพวกท่านมีเรื่องต้องหารือกัน ท่าทางจะหนักหนาเอาการทีเดียว พวกเราจึงรออยู่นี่ เพราะไม่อยากรบกวนท่านพ่อกับท่านแม่ที่กำลังคุยกันขอรับ”
อวี้ชิงลั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง อารมณ์ของหนานหนานเปลี่ยนเร็วราวลมฝน นางจึงคิดว่าเป็นไปได้ยากมากที่เขาจะอดทนรอให้พวกนางคุยกันจบก่อนได้
ดูเหมือนว่าช่วงที่ผ่านมานี้ แม้แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ยังมีบางอย่างผิดปกติไป เขาดูมีความอดทนมากขึ้นในทุกเรื่อง
“ท่านแม่ ท่านคุยกับท่านพ่อเสร็จแล้วหรือขอรับ? แล้วท่านพ่อเล่า? ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หนานหนานมองไปยังตำหนักด้วยความกังวล
อวี้ชิงลั่วกอดร่างอันอ่อนนุ่มของเขาไว้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เขาเหนื่อยนิดหน่อย กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง”
“โอ้” หนานหนานตอบ จากนั้นดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และทันใดนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านแม่ ท่านต้องเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อพักผ่อนมากขึ้นนะขอรับ ท่านต้องบอกเขาว่าเสด็จปู่ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้สีหน้าของเสด็จปู่สดใสขึ้นมาก เพื่อให้ท่านพ่อวางใจได้ว่าเสด็จปู่จะสบายดีขอรับ”
อวี้ชิงลั่วหันมามองเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็พยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว…” และนางก็เปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เจ้ากับหลานเฉิงพูดอะไรกับฝ่าบาทบ้าง?”
“เสี่ยวเฉิงเฉิงไม่ได้พูดอะไร มีแต่ข้าที่พูดตลอดขอรับ” หนานหนานทำหน้ามุ่ย ขณะมองไปที่เย่หลานเฉิง จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น “ข้าเล่าหลายเรื่องที่เราเจอขณะเดินทางให้เสด็จปู่ฟัง เสด็จปู่ดูเหมือนจะชอบมาก แถมยังบอกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากออกไปดูบ้าง ท่านยังพูดติดตลกด้วยว่าน้องอวี้จะกลายเป็นภรรยาของข้าในอนาคต ท่านแม่ ข้าคิดว่าเรื่องภรรยาหนักเกินไป ข้าจึงชวนคุยเรื่องอื่นไปทั่วขอรับ”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น และถามเขาด้วยความแปลกใจ “เหตุใดจึงคิดว่าเรื่องภรรยาหนักเกินไป?”
เย่หลานเฉิงเม้มปากก่อนจะหัวเราะ ราวกับรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของหนานหนานที่เผลอพูดมากเกินไป เขาตั้งใจรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว แล้วเลื่อนแก้วไปตรงหน้าเขา
หนานหนานหยิบมันขึ้นมาจิบ ก่อนจะตอบคำถามของอวี้ชิงลั่ว
“ท่านแม่ลองคิดดูสิขอรับ ข้าอายุแค่ห้าขวบใช่หรือไม่? อย่างน้อยที่สุด กว่าข้าจะควรแต่งงานกับภรรยาและมีลูก ก็เป็นเวลาอีกตั้งสิบกว่าปี จากนั้นข้าต้องดูว่าในอนาคตน้องอวี้ชอบข้าหรือไม่ และข้าจะชอบนางหรือไม่ ข้ากลัวว่าเสด็จปู่จะคิดขึ้นมาจริง ๆ ว่าจะให้ข้าแต่งงานกับน้องอวี้ ข้าไม่ชอบเรื่องการหมั้นหมายเลยขอรับ” หนานหนานพูดเช่นนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องที่เขาไม่ชอบ จะเกิดขึ้นกับน้องสาวของเขาเองในอนาคต โดยที่ฝ่ายเขาเป็นฝ่ายสั่งน้องสาวเองด้วย
อวี้ชิงลั่วพูดไม่ออก เจ้าตัวเล็กนี่คิดเรื่องการเก็บเงินเพื่อภรรยาของเขาตลอดทั้งวัน แต่ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานกับภรรยาเลย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้ออ้างในการสะสมเงินของเขา
นางรู้สึกเป็นห่วงภรรยาในอนาคตของเขาเล็กน้อย
ขณะที่กำลังคิดนั้น คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ภาพนั้นดึงดูดสายตาของอวี้ชิงลั่วทันที เมื่อหนานหนานพูดอะไรบางอย่างต่ออีก นางก็เหม่อลอยเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน คนใช้ก็พาคนเข้ามา และนางก็ตกตะลึง
เย่ซิวตู๋จะให้เหมิงจื่อเชียนทำอะไร?
เหมิงจื่อเชียนก็เห็นพวกนางเช่นกัน เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้อวี้ชิงลั่ว แล้วรีบเข้าไปในตำหนักทันที
ห้องค่อนข้างมืด ไม่รู้ว่าเย่ซิวตู๋ปิดหน้าต่างลงเมื่อใด
เมื่อเหมิงจื่อเชียนเข้ามา เขาก็เห็นร่างที่ค่อนข้างมืดนั่งอยู่ข้างโต๊ะ
ขณะที่เขากำลังลังเล เขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของเย่ซิวตู๋ “เจ้ามาแล้วหรือ? เข้ามาสิ นั่งก่อน”
เหมิงจื่อเชียนเม้มปาก จากนั้นปิดประตูและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เขาก็รู้ว่ามีจี้หยกสองอันอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นจี้สองชิ้นที่เขาคุ้นเคย
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจ ก่อนนั่งตรงข้ามเย่ซิวตู๋ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “แม่นางอวี้บอกท่านทุกเรื่องแล้วหรือ?”
“… อืม”
เหมิงจื่อเชียนถอนหายใจ “ตอนที่แม่ของข้าบอกข้า ข้าก็ตกใจมากเช่นกัน… แต่แม่ของข้าบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความคับข้องใจของคนรุ่นก่อน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน”
“มันไม่เกี่ยวข้องกับข้างั้นหรือ?” เย่ซิวตู๋ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “ต้นเหตุของแผนสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่ให้ข้าเติบโตขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยหรือ แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร?
เหมิงจื่อเชียนอ้าปาก แต่ไม่สามารถหาคำพูดมาปลอบโยนเขาได้ เขาพูดถูก ความตั้งใจเดิมของเหมิงหลิงหลงคือปกป้องเขา อดีตประมุขดินแดนเหมิงและผู้อาวุโสสกุลหมิงต่างสนับสนุนพฤติกรรมที่ไร้สาระนี้ เพราะเขามีปานรูปดอกไม้บนร่างกาย ซึ่งถือว่ามีความสำคัญกว่าเหมิงเสี่ยวขุย
“ไม่แปลกใจเลยที่นางจะเกลียดข้าและท่านปู่มาก และสนับสนุนพ่อของเจ้าให้แต่งตั้งคนที่ไม่มีปานรูปดอกไม้ขึ้นเป็นประมุข” นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเข้าใจ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
เหมิงจื่อเชียนเม้มปากและไม่มีอะไรจะพูด
ความคับข้องใจและความคับแค้นใจเหล่านี้ ไม่มีใครเข้าใจลึกซึ้งไปกว่าเย่ซิวตู๋ที่เกี่ยวข้องกับเหมิงกุ้ยเฟยโดยตรง
“มีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่ซิวตู๋ก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ แล้วพูดด้วยเสียงเบา
เหมิงจื่อเชียนตัวสั่นและนั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว “มีอะไรท่านก็พูดมาเถิด ตราบใดที่ข้ารู้ ข้าจะบอกทุกอย่าง”
ณ จุดนี้ เขาไม่มีอะไรต้องปกปิดแล้วจริง ๆ
สิ่งที่แม่ของเขาเล่าให้ฟังนั้น แม่ของเขากำชับไว้ว่าให้เขาพูดออกมาเมื่อจำเป็น
แม่ของเขาก็เกลียดเหมิงกุ้ยเฟยเช่นกัน ความตั้งใจเดิมของนาง คือกระชากหน้ากากของเหมิงกุ้ยเฟยต่อหน้าทุกคน
แต่เขาไม่ต้องการให้ทำเช่นนั้น เพราะวิธีการเช่นนี้จะทำร้ายทั้งสองฝ่าย แม้จะสามารถจัดการเหมิงกุ้ยเฟยได้ แต่ก็จะทำร้ายเย่ซิวตู๋และผู้อาวุโสสกุลหมิงด้วย คนหนึ่งเป็นปู่ของเขา และอีกคนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เขาไม่ต้องการให้ทั้งสองต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนนี้สภาพพระวรกายของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าเขาพูดต่อหน้าฮ่องเต้ ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ
เขาต้องการหาโอกาสที่เหมาะสมในการบอกเย่ซิวตู๋ เช่น… เมื่อเย่ซิวตู๋คิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยเป็นแม่ของเขา จึงไม่เต็มใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะถูกอวี้ชิงลั่วเปิดเผยเสียก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นไปแล้ว ช่วงเวลานี้ก็น่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าคมอันเย็นชาของเขาสะท้อนเงาสั่นไหวจากแสงอาทิตย์อัสดงภายนอก
เหมิงจื่อเชียนรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดในห้องอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงทุ้มต่ำของเย่ซิวตู๋ก็ดังเข้าหูเขา “หมู่…ในเมื่อเหมิงกุ้ยเฟยไม่มีปานรูปดอกไม้บนตัว แล้วนางปกปิดเรื่องนี้จากทุกคนตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้อย่างไร โดยที่พ่อของข้าไม่ระแคะระคายเลย หลังจากผ่านไปหลายปี แม้ว่าจะไม่ใส่ใจก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้”
คู่รักที่นอนร่วมเตียงเดียวกัน จนถึงกับให้กำเนิดลูกชาย ฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่มีปานรูปดอกไม้?
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หรือว่าฮ่องเต้เองก็รู้อยู่แล้วว่ากุ้ยเฟยคนปัจจุบันไม่ใช่กุ้ยเฟยคนก่อน?
ไหหม่า(海馬)