อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 965 รับภาระอันหนักอึ้ง
ตอนที่ 965 รับภาระอันหนักอึ้ง
ตอนที่ 965 รับภาระอันหนักอึ้ง
เหมิงจื่อเชียนถอนหายใจ เขารู้ว่าเย่ซิวตู๋จะต้องถามคำถามนี้แน่
“เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ที่ชาวเหมิงให้ความสำคัญกับคนที่มีปานรูปดอกไม้มากที่สุด ซึ่งการปฏิบัติต่อคนที่มีปานดังกล่าวบนร่างกายนั้น ย่อมไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อคนที่ไม่มี”
เย่ซิวตู๋เม้มปาก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าปานที่เอวของเขาร้อนขึ้นมา
เหมิงจื่อเชียนถอนหายใจและพูดว่า “ด้วยเกียรติเช่นนี้ ย่อมมีคนที่มีเจตนาชั่วร้ายคิดหาวิธีนอกรีต ดังนั้นใครบางคนที่เป็นบรรพบุรุษของชาวเหมิงจึงคิดค้นยาชนิดหนึ่งที่สามารถวาดและสลักปานรูปดอกไม้ ที่ไม่ว่าจะล้างอย่างไรก็ไม่จางหายไปได้ ยานี้ทำให้เกิดความโกลาหลมากในเผ่าเหมิงสมัยนั้น มันทำให้เกิดความสับสนไปชั่วขณะ ดังนั้น ประมุขเผ่าเหมิงในสมัยนั้น จึงสั่งให้คนคิดค้นยาที่ใช้ล้างปานปลอมนี้ ซึ่งยานั่นก็ค่อย ๆ แก้สถานการณ์นี้ได้ ต่อมาเมื่อมีชาวเหมิงเกิดใหม่และมีปานรูปดอกไม้ ก็จะต้องใช้ยานี้ลองล้างดู เพื่อยืนยันว่าปานนั้นเป็นของจริง ก่อนที่จะประกาศต่อทุกคนในเผ่าเหมิง”
ข้อความเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุของชาวเหมิง เย่ซิวตู๋ไม่เคยอ่าน เขาจึงไม่รู้
อีกทั้งมันเป็นของที่เก่าแก่ แม้แต่เหมิงจื่อเชียนเองก็ได้ดูเพียงครั้งเดียว และไม่ได้จริงจังกับมัน
ต่อมาฮูหยินเหมิงเล่าให้ฟังว่าเหมิงเสี่ยวขุยใช้วิธีดังกล่าว เพื่อรักษาปานปลอมที่ไม่สามารถล้างออกได้บนร่างกายของนางไว้
มีเด็กชาวเหมิงจำนวนไม่น้อยที่มีปานรูปดอกไม้ เด็กที่ยืนยันตัวตนตั้งแต่แรกเกิด ย่อมไม่มีใครสามารถสวมรอยทีหลังได้
แต่ใครจะคิดว่า จะมีคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการสลับตัวกัน?
แม้ว่าฮ่องเต้จะร่วมเตียงกับเหมิงเสี่ยวขุยมาหลายปี แต่นางก็ไม่ใช่นางสนมเพียงคนเดียวของเขา แม้ว่านางจะเป็นที่โปรดปราน แต่ก็ได้เจอหน้ากันเพียงไม่กี่วัน ยิ่งไปกว่านั้น เหมิงเสี่ยวขุยและเหมิงหลิงหลงเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน พี่น้องที่มีหัวใจใกล้ชิดกัน การเคลื่อนไหวและท่าทางการแสดงออกของพวกนางเหมือนกันทุกประการ และมีปานรูปดอกไม้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยเลย
เย่ซิวตู๋เงียบ และโบกมือหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
เหมิงจื่อเชียนรู้ว่าเขาจำเป็นต้องแยกตัวไปแล้ว จึงพยักหน้า ยืนขึ้นและจากไป
เมื่ออวี้ชิงลั่วเห็นเขาออกมา นางก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในตำหนัก
ทันทีที่นางเปิดประตู ก็พบว่าเย่ซิวตู๋ก็ยืนอยู่ที่ประตูเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขากำลังจะออกมา
นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเย่ซิวตู๋ก็พูดว่า “ข้าอยากไปวังหลวง”
“จะไปทำอะไร?” อวี้ชิงลั่วถามอย่างประหม่า นางกลัวว่าเขาจะไปหาเหมิงกุ้ยเฟยจริง ๆ
เย่ซิวตู๋หัวเราะ จากนั้นยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ข้ามีเรื่องจะคุยกับเสด็จพ่อ ข้าเป็นคนมีเหตุผลมากพอ ไม่ต้องห่วง”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นท่านก็รีบไปเถิดจะได้รีบกลับมา”
“อืม ประเดี๋ยวข้าก็กลับมา” เย่ซิวตู๋ถอนมือออก ก่อนเดินไปที่คอกม้า และขี่ม้าตรงไปยังวังหลวงโดยไม่ได้พาใครไปด้วยทั้งสิ้น
วันนี้ฮ่องเต้ได้พักผ่อนนานมาก แม้ว่าตอนกลางวันเขาจะพูดคุยกับเด็กทั้งสองเป็นเวลานาน แต่เขาก็ยังกระปรี้กระเปร่ามากในขณะนี้
เมื่อได้ยินว่าเย่ซิวตู๋มาหา เขาก็รีบสั่งให้คนพาเขาเข้ามา
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้อารมณ์ดี เหมียวเชียนชิวก็ทักทายเขาทันที หลังจากนั้นทุกคนที่คอยรับใช้ในห้องก็ถอยกลับไป และปิดประตูห้องอย่างมิดชิด เพื่อให้พื้นที่สำหรับพ่อและลูกชายคุยกันตามลำพัง
เย่ซิวตู๋ตู้นั่งลงข้างเตียง “เสด็จพ่อ”
“เหตุใดซิวเอ๋อร์จึงมาหาพ่อดึกนัก? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ฮ่องเต้มองเขาด้วยรอยยิ้ม และปฏิบัติต่อเขาด้วยความอ่อนโยนเสมอ
เย่ซิวตู๋มองเขาด้วยสายตาค่อนข้างซับซ้อน ถ้าฮ่องเต้รู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของเขาโกหก ก็ไม่รู้ว่า…
เขารีบสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว และสลัดความคิดยุ่งเหยิงในใจเหล่านี้ทิ้งไป ตอนนี้สภาพพระวรกายของฮ่องเต้ย่ำแย่มาก เขาไม่สามารถบอกให้ฮ่องเต้รู้เรื่องเช่นนี้ได้เด็ดขาด ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาก็จะปกปิดไว้ให้ได้
เย่ซิวตู๋สูดหายใจ สีหน้าของเขาสงบลงเล็กน้อย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เสด็จพ่อถูกลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้…ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ขอรับ ว่าใครคือฆาตกร?”
ฮ่องเต้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป สายตาของเขาเปลี่ยนไปจับจ้องขอบหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกล ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างหม่นเศร้า
“เสด็จพ่อ…”
“ซิวเอ๋อร์” ฮ่องเต้ขัดจังหวะเขา และค่อย ๆ เผยรอยยิ้มอีกครั้ง ทว่าเป็นรอยยิ้มเศร้า “เจ้าแค่เดินหน้าลงมือทำไป ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร พ่อจะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ข้างหลังเสมอ”
เย่ซิวตู๋รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวในทันใด “ท่านพ่อ ท่านรู้…”
“มีผู้ต้องสงสัยเพียงไม่กี่คน พ่อเพิ่งประกาศว่าจะแต่งตั้งองค์ชายหกเป็นไท่จื่อ ทำให้มีคนพร้อมจะเคลื่อนไหว พ่อจะไม่รู้ได้อย่างไร? ไม่มีความละอายใจใด ๆ เลย… หลังจากอดทนมาหลายปี สุดท้าย… ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป”
ในเมื่อถึงขึ้นกล้าลอบปลงพระชนม์ แล้วจะมีอะไรอีกที่คนผู้นั้นไม่กล้าทำ? หากคนเช่นนี้ถูกเรียกว่าฮ่องเต้ อาณาจักรนี้จะไม่ถูกทำลายจนล่มจมหรือ?
เขาไม่ใช่แค่พ่อ แต่ยังเป็นฮ่องเต้อีกด้วย เพื่อรับผิดชอบต่อราษฎรของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเป็นฮ่องเต้ที่ชาญฉลาดได้ตลอดกาล แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งหายนะไว้ในภายภาคหน้า และทำให้ความหวังของบรรพชนพังพินาศได้
เย่ซิวตู๋ก้มหน้าลงเล็กน้อย กรามของเขาขบกันแน่น
“เพียงแค่มันยากสำหรับเจ้า ซิวเอ๋อร์”
เย่ซิวตู๋เงยหน้าขึ้นมองด้วยความซาบซึ้ง และขมวดคิ้วเล็กน้อย ความจริงแล้วเสด็จพ่อ…เป็นคนมีเหตุผล
เย่ซิวตู๋ถอนหายใจ “เสด็จพ่อ โอรสคนนี้จะดำเนินชีวิตตามที่ท่านไว้วางใจพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ดี” ฮ่องเต้หัวเราะ ทันใดนั้นมือบางก็จับมือเขาและตบเบา ๆ หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วถามว่า “ซิวเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องการครองอาณาจักรนี้จริงหรือ?”
เย่ซิวตู๋ตกตะลึง คิ้วของเขาขมวดแน่น
“ร่างกายของพ่อเป็นอย่างไร องค์หญิงเทียนฝูน่าจะบอกซิวเอ๋อร์อย่างละเอียดแล้ว ซิวเอ๋อร์รู้ดีกว่าพ่อ พ่ออยู่ได้อีกไม่นาน…จงฟังพ่อ เจ้าเป็นลูกชายที่มีค่าที่สุดของพ่อ นอกจากเจ้าแล้ว พ่อไม่รู้ว่าจะมอบภาระอันหนักอึ้งของตระกูลเราให้ใคร พี่ชายใหญ่ของเจ้า ไท่จื่อที่ถูกปลด องค์ชายสาม องค์ชายสี่ไม่อาจขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ น้องชายหกและน้องชายเจ็ดของเจ้า…มีความทะเยอทะยาน แต่ไม่กล้าหาญเท่าเจ้า ส่วนองค์ชายสิบเอ็ดก็ยังเด็กเกินไป พ่อไม่สบายใจที่จะฝากอาณาจักรนี้ไว้กับผู้ใด”
“เสด็จพ่อ ชิงเอ๋อร์บอกว่าอาการของท่านไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น แต่มีเงื่อนไข” ฮ่องเต้ยกยิ้ม “ตราบใดที่พ่อพักผ่อนได้ดี ก็จะไม่ร้ายแรงเกินไป แต่ตอนนี้เป็นเวลาสำคัญ พ่อจะพักผ่อนได้อย่างไร? ซิวเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อจริงหรือ?”
สีหน้าของเย่ซิวตู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ลำคอของเขาแห้งผากจนพูดไม่ออก
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “พ่อรอไม่ไหวแล้ว…”
หัวใจของเย่ซิวตู๋สั่นสะท้าน เขารีบจับมือฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “…ตกลง ลูกจะรับหน้าที่สำคัญนี้ต่อจากเสด็จพ่อเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงพลางสรวลทั้งน้ำตา ตรัสอะไรไม่ออก
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บางทีความเชื่อและจารีตมันก็ทำร้ายเด็กอย่างสาหัสสากรรจ์เหมือนกันนะคะ เด็กไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากการยอมรับของคนในสังคม ไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นตัวร้ายหรอก แต่สิ่งที่เจอมามันบังคับให้ต้องร้าย
ท่านอ๋องจะรับตำแหน่งฮ่องเต้แทนแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)